‘ส.ศิวรักษ์’แนะคนไทยหลังปฏิรูป อย่าหวังผลเลิศอย่าหวังผลร้าย
Author : ภาณุพล รักแต่งาม
แอลเอ (ไทยทาวน์ยูเอสเอนิวส์) : ‘ส.ศิวรักษ์’ ชี้รัฐบาลใหม่ไม่น่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย เพราะ ครม. ยังเป็นคนในกระแสหลัก แนะรัฐบาลใหม่ควรฟังเสียงประชาชนให้มาก หาไม่จะวนเวียนกลับเข้าสู่รูปเก่า ชี้นายกฯ ใหม่ถอดใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน เพราะอ้างมีเวลาหนึ่งปีจะทำอะไรได้
อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส. ศิวรักษ์ นักวิชาการชื่อดังของไทย ซึ่งเดินทางมาบรรยายเกี่ยวกับพุทธศาสนาเนื่องในโอกาสครบรอบร้อยปีท่านพุทธทาสภิกขุ ที่โคโรลาโดคอลเลจ, มหาวิทยาลัยนาโรปะ ในรัฐโคโรลาโด และที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยได้เปิดแสดงปาฐกถาในลอส แอนเจลิส ที่โรงเรียนอนุบาล ดร.ผดิษฐา อายนบุตร เมื่อค่ำวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา
อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ปฏิรูปการเมืองของไทยโดยคณะทหารว่า ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงที่คนกำลังเห่อ แต่หากไม่มีผลงานใดๆ ในระยะอันไกลก็จะถูกประชาชนด่า เหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับคณะรัฐประหารในอดีต อีกทั้งระบุว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีสมควรที่จะออกจากตำแหน่ง เพราะไม่มีความโปร่งใส แต่ก็ควรจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่าการทำปฏิวัติยึดอำนาจ
“เอาล่ะ ยึดอำนาจแล้ว ก็น่าจะใช้สติปัญญาในการยึดอำนาจมากกว่านี้ เช่นงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ นี่ให้ร่างใหม่กันหมดแล้ว ยุบหมดเลย สภายุบหมด นี่แสดงว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่นี่ครับ ระยะแรกก็เชียร์กันครับ ใส่เสื้อเหลืองเอาดอกไม้ไปให้ ก็ดีครับ เล่นละครกัน แต่ผมอยากจะเตือนนะครับอีกพักเดียวคนก็จะเอือม คนก็จะเบื่อ ผมเตือนด้วยความหวังดี ถ้าไม่พอใจ ผมกลับไปวันที่ 26-27 ก็ไปจับผมได้ ไม่หนี ให้จับครับ” นักวิชาการที่ได้ชื่อว่าเป็นคนตรง กล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมากล่าวอย่างอารมณ์ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลใหม่ที่มีการจัดตั้งขึ้นมา จะทำให้เกิดผลดีอะไรกับประเทศบ้าง นักวิชาการเจ้าของฉายาปราชญ์สยามกล่าวว่า เป็นเรื่องยาก เพราะนายกรัฐมนตรีบอกว่ามีเวลาทำงานแค่หนึ่งปี เหมือนถอดใจตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงาน
“ท่านนายกฯ ท่านบอกมาปีเดียวจะทำไรได้ ถ้าพูดอย่างนี้คุณก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อรัฐบาลอังกฤษจะให้เอกราชอินเดียนั้น ได้ส่งหลอดหลุยส์ไป ให้เวลาหนึ่งปี ให้ทำให้สำเร็จ ให้อำนาจเต็มที่ ก็ทำได้สำเร็จ นี่อะไร อำนาจก็มีเต็มที่ ยังหยอยๆ อย่างนี้หรือจะทำได้สำเร็จ คณะรัฐมนตรีที่ตั้งอยู่นี่ ส่วนใหญ่กึ่งดิบกึ่งดีทั้งนั้น ทำอะไรได้”
นักวิชาการชื่อดังกล่าวอีกว่า คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ ส่วนใหญ่เป็นคนในกระแสหลัก ซึ่งไม่ค่อยฟังเสียงนอกกระแส
“บ้านเมืองเราตอนนี้มันเปลี่ยนไปมาก ที่มันเปลี่ยนแปลงได้เพราะประชาชนเป็นแสนๆ ทั่วทุกจังหวัดออกมาไล่ทักษิณ แต่คนเหล่านี้กลับไม่ได้รับการเหลียวแลเลย มีแต่เอาพวกขุนนางเก่าๆ พวกปลัดกระทรวงเก่าบ้างมาเป็นรัฐมนตรี พวกนี้ไม่เคยฟังใคร จะไปทำอะไรได้ คุณสุรยุทธ์เป็นคนน่ารักครับ แต่ผมว่าควรไปบวชมากกว่าจะมาเป็นนายกฯ”
อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้กล่าวถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยต่อไปว่า เป็นชาวพุทธที่น่ารัก และซื่อสัตย์ “เมื่อท่านเป็นแม่ทัพ คุมกองทัพให้ลดการโกงกินไปมาก ตัวท่านเองเป็นผู้บริสุทธิ์ เกษียณแล้วก็ไปบวช แต่คนที่ถือพุทธแบบนี้ ไปเข้าใจว่าการถือพุทธให้ตัวเองเป็นคนดี ซื่อ ไม่โกงกิน เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธแล้ว ตัวศีลนั้น ไม่ใช่เป็นคนดีอย่างเดียว ศีลแปลว่าปกติ แต่ละคนต้องปกติ สังคมต้องปกติ ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนต้องลดลง อภิสิทธิต่างๆ จะต้องหมดไป คนชั้นปกครองทุกระบบ ตั้งแต่สูงสุดลงมาถึงต่ำสุดจะต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ คนข้างบนจะต้องเคารพคนข้างล่าง ไม่ใช่ดูถูก ถ้าเนื้อหาสาระไม่กลับมา ไม่มีทางเป็นประชาธิปไตย…. ท่านนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เรียนด้วยความเคารพนะครับ ท่านไม่เข้าใจประเด็นนี้ ขึ้นมาจนกระทั่งถึงพลเอก ก็เลยนึกว่าพลเอกต้องใหญ่กว่าพลทหาร จ้าวต้องสูงกว่าไพร่ ผมว่าความคิดนี้หมดสมัยไปแล้ว”
นักวิชาการชื่อดังกล่าวด้วยว่า หากมีการประยุกต์เอาเนื้อหาสาระของพุทธศาสนาเข้าไปมาใช้ในระบอบการเมือง ก็จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์
“แก่นของพุทธ ใช้ได้กับทุกศาสนาและใช้ได้กับทางการเมือง สังคม เพราะเนื้อหาศาสนาพุทธ ฝึกให้ทุกคนเปลี่ยนความโลภเป็นทาน ความงกเป็นการให้ เปลี่ยนความรุนแรงโทสะเป็นเมตตากรุณา เปลี่ยนความหลงชาติ หลงตัว อะไรก็ตามให้เป็นความเข้าใจ เป็นปัญญา เนื้อหาสาระของศาสนาอื่นก็เช่นเดียวกัน แต่ใช้ภาษาต่างกัน เอาธรรมะมาประยุกต์ใช้ พุทธแปลว่าตื่น ตื่นจากโลภโกรธหลง ถ้าใช้เป็นพื้นฐานแล้ว มันจะช่วยทุกคนตื่น ทุกคนมีความภูมิใจ มีความเคารพซึ่งกันและกัน”
ในประเด็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ส.ศิวรักษ์ กล่าวว่าจะร่างใหม่ให้สวยหรูอย่างไรก็ตาม หากไม่พัฒนาคน ก็จะไม่มีประโยชน์
“รัฐธรรมนูญฉบับที่แล้วก็ดีพอสมควร แต่ว่าคนใช้จุดอ่อนของรัฐธรรมนูญนี่ อย่างทักษิณนี่ชัดเจน เพราะเขาเชื่อว่าเขาสามารถใช้เงินและอำนาจซื้อได้ และที่น่าเสียใจกว่านั้นก็คือคนของเราซื้อได้แทบทุกแห่ง ทุกสถาบัน สำนักงานอัยการก็ถูกซื้อ ศาลรัฐธรรมนูญก็ถูกซื้อ วุฒิสภา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการเลือกตั้งก็ถูกซื้อ การแก้ก็ต้องกำหนดว่าทำไงถึงจะทำให้คนของเราเลิกถูกซื้อได้ นี่ผมไม่ได้พูดในทางนามธรรม ในทางอุดมคติ เป็นไปได้นะครับ แต่รัฐบาลชุดนี้ทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้เต็มไปด้วยคนในระบบ มองอยู่แค่ในระบบ ไม่รู้ว่าระบบของตัวเองคือตัวสร้างความสับสนไขว้เขวให้กับบ้านเมืองตลอดเวลา ถ้าจะร่างรัฐธรรมนูญ ต้องมองไปนอกระบบ คนนอกระบบก็ตื่นขึ้นมามากแล้วครับ คนจนที่เคยถูกเหยียดหยามว่าโง่เขลาเบาปัญญา เขาตั้งสมัชชาคนจน มีสมาชิกหลายล้าน คนเหล่านี้เขาสามารถยืนหยัดท้าทายคนข้างบนครับ”
อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่คนไทยจะทำได้ในสภาพเช่นนี้ คือ จะต้องยอมรับความจริง เพราะตนไม่เห็นว่าจะมีใครใน ครม.ชุดนี้ กล้าหาญพอจะแหวกออกจาก ‘สภาพน้ำนิ่ง-น้ำเน่า’ ออกมาได้ และฝากสื่อมวลชนด้วยว่า ให้พยายามติชมรัฐบาลใหม่ในเชิงสร้างสรรค์
“พยายามชี้แนะ อย่าไปโจมตีในทางทำลายล้าง เขาจะเสียกำลังใจ เมื่อเสียแล้วเขามีคณะปฏิรูปอยู่หลังเขา เขารังแกได้ทันทีเลย ผมว่าเราอย่าเป็นศัตรูกันดีกว่า เตือนกันด้วยความหวังดีนะครับ อาจจะต้องใช้ถ้อยคำที่เพราะกว่าที่ผมใช้หน่อยหนึ่ง เขาจะได้ฟัง อย่างผมเขาไม่ฟังอยู่แล้ว ไอ้ตาแก่นี่พูดมาก”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงนางชะบา จตุรบุล ซึ่งเป็นศิษย์ของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ แต่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาลพรรคไทยรักไทยอย่างเต็มตัว และอ.สุลักษณ์เคยเขียนจดหมายติติงศิษย์จนเป็นข่าวฮือฮาในชุมชนไทยมาแล้วนั้น อ.สุลักษณ์กล่าวว่า ตนไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะแต่ละคนก็มีสิทธิ์ที่จะทำในสิ่งที่ตนเชื่อ
“ผมไม่ว่าใคร เขาก็เลี้ยงข้าวผมเมื่อคืน คนเรามันเห็นไม่เหมือนกันได้นี่ครับ จะถือพุทธ ถือคริสต์ เป็นคอมมิวนิสต์ ก็ได้ ได้ข้อมูลมาเท่าไหนก็ทำไปเท่านั้น แต่ผมเชื่อว่าเขาเป็นคนบริสุทธิ์ ถามว่าคุยอะไรกันเหรอ ก็คุยกันส่วนตัว” นักวิชาการชื่อดังกล่าว
Source : ไทยทาวน์ ยูเอสเอนิวส์