ญี่ปุ่นน่าอยู่ แต่ทำไมถึงอยากตายรายวัน
ข้อความบางส่วนจากบทความ ญี่ปุ่นน่าอยู่ แต่หนูอยากตาย: เมื่อ “ความเป็นส่วนตัว” กลายเป็นความเพิกเฉยต่อสังคม
https://www.theprachakorn.com/newsDetail.php?id=731

ผู้อ่านและคนรอบตัวของผู้อ่านหลายท่านอาจจะรู้จักญี่ปุ่นว่าเป็นประเทศที่บ้านเมืองสะอาด เรียบร้อย ผู้คนไม่คดโกงและชอบรักษาปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด หากทำกระเป๋าสตางค์หรือโทรศัพท์หล่นหายก็มักได้คืนทุกครั้ง และเมื่อคงพูดถึงวัฒนธรรม soft power ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูน อะนิเมะ หรือ J-Pop หลายคนอาจนึกถึงภาพตอนที่มีเหตุแผ่นดินไหว บ้านเรือนถล่มทลายโดนสึนามิพัดเสียหาย แต่คนญี่ปุ่นก็ยังยืนต่อแถวรอรับข้าวของเยียวยาจากทางหน่วยงานอย่างเป็นระเบียบ ไม่แก่งแย่งชิงกันเหมือนที่เห็นกันในทั่วไปในประเทศอื่น การเก็บเอาขยะกลับบ้านไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตามถือเป็นนิสัยที่น่าชื่นชมของคนประเทศนี้ ในด้านการสาธารณสุขอย่างเรื่องระบบการแพทย์และพยาบาลก็มีให้เข้าถึงทุกที่ไม่ทอดทิ้งคนจนไว้ข้างหลัง (ดูเพิ่มเติมได้ในบทความของผู้เขียน: ประสบการณ์การใช้บริการระบบประกันสุขภาพแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่น) เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้เขียนประทับใจและรู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก
อย่างไรก็ตาม ไม่มีที่ไหนสมบูรณ์แบบไปหมดเสียทุกเรื่อง เมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา ณ หอพักนักศึกษาที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ มีนักศึกษาหญิงฆ่าตัวตายและเป็นข่าวใหญ่ออกทั้งรายการโทรทัศน์และวิทยุท้องถิ่น และในวันที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความนี้ (15 มีนาคม 2566) มีอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแจ้งมาว่ากำลังไปงานศพของศิษย์เก่าที่เลือกจบชีวิตตนเองในวัย 30 ปี แม้ว่า ปี 2566 เพิ่งเริ่มมาได้เพียงสองเดือนกว่าๆ แต่ข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายก็เกิดขึ้นถี่ราวกับกับอุบัติเหตุบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร
เมื่อมาย้อนคิดดูแล้ว การฆ่าตัวตายของบุคคลใกล้ตัวผู้เขียนนั้นมีทุกปีตั้งแต่มาอยู่ที่ญี่ปุ่น ผู้เขียนจึงอยากนำเสนอเรื่องราวฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับแสดงความคิดเห็นเชิงวิจารณ์สังคมญี่ปุ่น (โดยเฉพาะเมืองใหญ่) จากประสบการณ์การใช้ชีวิตในญี่ปุ่นมาเกินสิบปี ผู้เขียนมองว่าญี่ปุ่นเป็นสังคมที่มีเส้นแบ่งของพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่ส่วนรวมที่ชัดเจนเกินไป ทำให้มนุษย์มีความโดดเดี่ยวเพราะความสำคัญของความเป็นส่วนรวมนั้นตกชายขอบ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุของปัญหาที่ไม่อยากให้เกิด
หากไม่นับข่าวดังที่มิอุระ ฮารุมะ ดาราหนุ่มคนโปรดของผู้เขียนฆ่าตัวตายในปี พ.ศ. 25631 และข่าวที่มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งพุ่งกระโดดไปที่รถไฟด่วนที่เมืองโกเบ จนทำให้ทั้งคนกระโดดและผู้โดยสารในรถไฟเสียชีวิตเมื่อปี 2564 แล้ว2 ข่าวที่อยู่ในความทรงจำของผู้เขียนก็คงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 23 ตุลาคม 2563 ที่มีเด็กนักเรียน ม.ปลายอายุ 17 ปี กระโดดลงมาจากห้างสรรพสินค้า Hep-Five ที่ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองโอซาก้า3 ใกล้กับสถานีรถไฟที่ผู้เขียนใช้สัญจรเป็นประจำ เด็กหนุ่มคนนี้กระโดดลงมากระแทกกับนักศึกษาผู้หญิงอายุ 19 ปี ทำให้เสียชีวิตทั้งคู่ หลังจากข่าวนี้ เวลาผู้เขียนจะเดินผ่านทางนี้ทีไร เป็นต้องแหงนหน้ามองขึ้นฟ้าทุกที4
อีกเรื่องที่เป็นข่าวดังมากอยู่ช่วงหนึ่งคือเรืองที่เกิดขึ้นที่เมืองอาซาฮิกาวะ จังหวัดฮอกไกโด ในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เด็กผู้หญิง นามสมมติว่าน้องเอ อยู่ระดับชั้น ม.ต้น อายุ 14 ปี ถูกพบว่าแข็งตายในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง5 หลังจากที่ผู้ปกครองได้แจ้งความคนหายไปแล้วกว่าหนึ่งเดือน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อากาศหนาวมากที่สุดของปี โดยวันที่เธอหายไปที่นั้นมีอุณหภูมิถึง -17 องศา เหตุการณ์นี้มีที่มาจากการถูกกลั่นแกล้งรังแกหรือการถูกบูลลี่ (Bully) ที่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่น้องเอได้เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นใหม่ๆ กลุ่มนักเรียนชายและหญิงจำนวนหนึ่งที่รังแกเธอเป็นประจำได้บังคับให้เธอส่งรูปและวีดิโออนาจารของตนเองไปให้พวกเขา และรูปเหล่านั้นก็ได้ถูกส่งต่อไปยังหลายกลุ่มแชท หลังจากนั้นมีเหตุการณ์ที่กระทบต่อจิตใจเธอมากที่สุดคือการที่กลุ่มเด็กบูลลี่เหล่านี้บังคับให้เธอทำสิ่งอนาจารต่อหน้าพวกเขา หลังจากเหตุการณ์นี้ น้องเอพยายามฆ่าตัวตายโดยการกระโดดลงแม่น้ำเมื่อปี 2562 แต่เด็กกลุ่มนี้ก็ได้โทรแจ้ง 1106 ว่า น้องเอกระโดดลงน้ำฆ่าตัวตาย โดยให้เหตุผลว่าเพราะถูกคุณแม่ทำร้ายร่างกาย ซึ่งทำให้คุณแม่น้องเอถูกตำรวจกีดกันไม่ให้เข้าไปเยี่ยมลูกได้ แต่เด็กเหล่านี้ทำตัวน่าสงสัยเพราะบอกตำรวจว่าเป็นเพื่อนกับน้องเอแต่ไม่เคยส่งข้อความหรือมาเยี่ยมเยียนเลย ตำรวจจึงทำการสอบสวน และพบหลักฐานในมือถือว่ามีรูปอนาจารอยู่จริง อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ผู้กระทำผิดมีอายุน้อย กฎหมายจึงไม่สามารถทำอะไรเด็กพวกนี้ได้ ภายหลังจากน้องเอฟื้นตัวแล้ว คุณหมอได้วินิจฉัยว่า น้องเอมีโรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (Post-Traumatic Stress Disorder: PTSD) จากการถูกบูลลี่อย่างต่อเนื่อง หลังจากเหตุการณ์นี้ น้องเอได้แต่หมกตัวอยู่ในบ้าน จนกระทั่งวันที่เธอหายตัวไปกระทันหันและถูกพบว่าเสียชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในตอนแรกทางโรงเรียนไม่ยอมรับว่าการฆ่าตัวตายของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบูลลี่ในโรงเรียน ก่อนที่จะโดนร้องเรียนและออกมายอมรับในภายหลัง เรื่องนี้ถูกรายงานว่า น้องเอเคยพยายามบอกกับคุณครูว่าโดนรังแก แม่เองก็เคยไปปรึกษาคุณครู แต่คุณครูกลับบอกว่า ไม่มีอะไร แถมยังเอาเรื่องที่น้องเอมาฟ้องไปเล่าให้เด็กกลุ่มนั้นฟังอีกด้วย
ผู้เขียนมิอาจรู้สาเหตุของการฆ่าตัวตายทั้งหมดได้ว่าเกิดจากอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสัมผัสได้จากสังคมญี่ปุ่นคือ แม้จะพบว่าใครมีปัญหา หรือทำตัวแปลกแยกจากผู้อื่น มักไม่มีใครอยากช่วยเหลือหรือเข้าไปคุยกับเขา
วันหนึ่งในห้องเรียนของผู้เขียน ขณะที่อาจารย์สอนอยู่ มีนักศึกษาชายชาวญี่ปุ่นตัวผอมสูงคนหนึ่งเดินออกมาหน้าห้อง ทำท่าเหมือนจะไปเข้าห้องน้ำ แต่จู่ๆ เขาก็เข่าอ่อนพับลงแล้ววูบลงไปสลบอยู่ตรงหน้าประตูชั้นเรียน ขณะนั้นผู้เขียนนั่งอยู่แถวเกือบหน้าสุดแต่นั่งอยู่เกือบตรงกลางไม่สามารถลุกทันทีได้เมื่อเทียบเพื่อนคนที่นั่งตรงปลายแถวของแถวหน้าสุด แต่ก็ไม่มีใครลุกไปหาเขา อาจารย์ที่กำลังหันหน้าเข้าหากระดานดำก็เหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็น ขณะที่ผู้เขียนรีบรุดไปช่วยเขา อาจารย์หันมาและสังเกตได้ว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น จึงใช้โทรศัพท์ของห้องเรียนติดต่อห้องพยาบาล ขณะที่ผู้เขียนพยายามเรียกสติและประคองหัวของนักศึกษาหนุ่มที่หน้าซีดและกำลังหมดสติ ก็พบว่านักศึกษาอินโดนีเซียที่นั่งอยู่แถวหลังสุดของห้องก็วิ่งออกมาช่วยดูเหตุการณ์ ส่วนที่เหลืออีกร้อยชีวิตนั้นนั่งนิ่ง จากนั้น อาจารย์ที่เพิ่งวางสายจากห้องพยาบาลหันมาบอกว่าเดี๋ยวจะมีวีลแชร์มารับ พูดเสร็จแล้วก็ทำการสอนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาผ่านไปไม่ถึงสามนาที ได้มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาพร้อมรถเข็น เราสองคนจึงช่วยกันประคองหนุ่มหมดสติขึ้นรถเข็นพาไปส่งถึงหน้าลิฟต์เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าเขาสามารถเข็นไปเองคนเดียวได้ เมื่อเราสองคนกลับมาก็เห็นว่าห้องเรียนอยู่ในสภาพเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจารย์แค่หันมาขอบคุณคำเดียวแล้วก็สอนต่อ แม้ว่าเสร็จจากคลาสเรียนแล้วก็ไม่มีใครมาถามสักคนว่าเป็นอะไรยังไงบ้าง ผู้เขียนรู้สึกตกใจกับเรื่องนี้มาก จึงถามเพื่อนคนญี่ปุ่นที่สนิทกันและนั่งข้างๆ ผู้เขียนตอนนั้นว่า คนญี่ปุ่นคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงไม่มีใครลุกไปช่วยคำตอบของเพื่อนยังคงอยู่ในใจของผู้เขียนจนทุกวันนี้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว เพื่อนบอกว่า “ไม่ใช่ว่าเราไม่แคร์นะหรือไม่รู้สึกนะ แต่เราคิดว่าไม่ต้องเป็นเราหรอก เราไม่อยากเด่น เขาอาจจะป่วย แต่นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เราไม่ชอบไปยุ่งเรื่องส่วนตัว ไม่ชอบเด่นในที่สาธารณะแบบนี้”
“ความเป็นส่วนตัว” มีข้อดีของมันคือ เราเคารพต่อกัน ไม่ก้าวก่ายกัน แต่การให้ความสำคัญกับความส่วนตัวที่มากเกินไปได้นำไปสู่การขาดความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ ผู้เขียนมองว่าสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็น “ความเห็นแก่ตัว” และขาดความสำนึกในการอยู่ร่วมกันในสังคม สังคมในการทำงานก็เช่นกัน จากที่คุยกับเพื่อนคนญี่ปุ่นมา หลายคนนั้นมีความชัดเจนว่า เวลางานก็คืองาน พอพักเที่ยงก็ปลีกตัวไปกินข้าวอยู่คนเดียว สร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงานเท่าที่จำเป็น และยังมองว่าเพื่อนร่วมงานนั้นไม่ถือว่าเป็น “เพื่อน” อีกด้วย
ผู้เขียนรู้สึกว่า การที่คนๆ หนึ่งต้องระวังเส้นแบ่งของ “ตนเอง” ไม่ให้ก้าวทับไปในเส้นของ “คนอื่น” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเคารพสิทธิส่วนบุคคลนั้น ก่อให้เกิดความเครียด ในเมื่อมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม เหตุใดเราจึงต้องมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนนี้ด้วย นักสังคมวิทยาท่านหนึ่งนามว่า Anthony Giddensได้กล่าวไว้ในหนังสือ Modernity and Self-Identity (1991, pp.74-75) ว่า “ปัจเจกนิยม (Individualism) นั้นไม่เคยมีในยุคสังคมก่อนสมัยใหม่ (pre-modern society) แต่เพิ่งมีหลังจากการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม (industrialization)ในโลกตะวันตก… ตัวบุคคล (individual) นั้นย่อมเป็นบุคคลได้เพราะว่าเขามีเส้นใยเชื่อมโยงกับสังคมที่สร้างเขาขึ้นมา” 7 ถ้าสังคมเราให้ที่กับ “เรื่องส่วนตัว” มากเกินไป แล้วบุคคลในสังคมนั้นจะยังคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอยู่อีกหรือ? มนุษย์จะกลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวมาอยู่รวมกันแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับสังคมได้หรือ?