ปฏิบัติการหวนถึง “แง่งาม ความรัก และน่าเอ็นดู”

ปฏิบัติการหวนถึง "แง่งาม ความรัก และน่าเอ็นดู"

Author : เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา

การทำงานเฉพาะหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว การมุ่งผลลัพธ์หรือความสำเร็จที่จำนวนชิ้นงาน หรือการดำเนินชีวิตทั่วๆ ไปที่ขาดความสมดุลทางกายและใจ คงจะตกกระแสสำหรับยุคปัจจุบันที่มาแรงในมิติด้านชีวิตจิตใจ หรือคุณภาพด้านใน ดังที่เราเห็นหรือได้ยินผ่านชุดคำต่างๆ เช่น การอยู่เย็นเป็นสุข สังคมสุขภาวะ ความรู้คู่คุณธรรม การพัฒนาจิตใจ คุณภาพชีวิต ความเอื้ออาทรไม่ทอดทิ้งกัน ชีวิตที่พอเพียง การพัฒนาอย่างยั่งยืน การยกระดับจิตใจ วิถีพุทธ อิสรภาพทางใจ ความสุขมวลรวมประชาชาติ ดัชนีความสุข วิถีแห่งสุขภาพ Healthy การรวมพลังทำความดีเรื่องต่างๆ องค์กรแห่งความสุข เป็นต้น

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาอย่างหนึ่งให้เราได้เห็นได้ยินอยู่เนืองๆ และมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสื่อต่างๆ คือ กิจกรรมการอบรมที่มุ่งเน้นทักษะการเรียนรู้ตนเอง การเข้าใจผู้อื่น การปรับสมดุลกายใจ หรือการสนับสนุนและส่งเสริมการปฏิบัติธรรม การเจริญสติภาวนาในการศึกษาทุกระดับตั้งแต่อนุบาล ในสถานที่ทำงาน สิ่งเหล่านี้กำลังเข้าสู่ความเป็นเรื่องปกติ (อาจเกิดปรากฏการณ์ใครไม่เคยปฏิบัติธรรม จะเชยมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้) หรือการแทรกซึมของชุดคำต่างๆ ที่มีความหมายลึกซึ้ง เป็นนามธรรมเข้าขั้นอุดมคติ ในยุทธศาสตร์ พันธกิจ เป้าหมายของหน่วยงาน ระเบียบวาระแห่งองค์กรเริ่มมีปรากฏให้เห็น เสมือนเป็นยุคแห่งการแสวงหา พยายามหาคำตอบให้กับชีวิตและมุ่งสู่อุดมคติของสังคมที่สุขแท้และดีงาม และเพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตที่เขาว่ากันในปัจจุบันได้ โดยที่มีภาพคู่ขนานเป็นเหตุการณ์ความรุนแรง อาชญากรรม

ผลการสำรวจในแง่ไม่พึงประสงค์ของผู้คนในเรื่องต่างๆ ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่ไร้พรมแดน ช่วยชี้ชวนให้เราเห็นความสำคัญของเรื่องข้างต้น ซึ่งจะเป็นทิศทาง เป็นธงนำ เป็นหลักไมล์ เป็นเป้าหมาย เป็นสิ่งสะกิดใจให้เราต้องค้นหาว่าควรจะประพฤติปฏิบัติ ควรจะทำแผน หรือวัดผลประเมินค่าอย่างไรถึงจะใช่ หรือสะท้อนคุณค่าความหมายนั้นได้ อีกทั้งแนวปฏิบัติ ต้นแบบ ตัวอย่างนำร่อง ต่างได้รับความสนใจ มีการศึกษา สำรวจ เผยแพร่ ร่วมชื่นชมเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างกว้างขวาง

แต่สำหรับใครบางคนสิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นข้อมูลข่าวสารอีกแบบที่ไหลบ่าท่วมท้น น่าสับสน ทำให้ลังเลสงสัยกับการทำงานหรือวิถีชีวิตประจำวันว่ามีความสุขแท้จริงหรือเปล่า มิติด้านในขาดแหว่งไปหรือไม่ ต้องตั้งคำถามที่ไม่เคยคิดจะตั้งมาก่อน

แล้วเราควรทำอย่างไร หรือคิดแบบใด พูดทำนองไหน จึงจะได้เข้าสู่วิถีทางนั้น รู้สึกว่าใช่ ไม่หลอกลวง ของจริงแท้ที่เรายอมรับได้อย่างสนิทใจ ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ไม่ใช่ทำนองว่าพูดหรือเขียนอย่างหนึ่ง แต่รู้สึกหรือทำอีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่าหากถูกตั้งคำถามในการทำงานเพื่อสอบทานคุณภาพชีวิตด้านใน เช่น ทั้งตัวเราและผู้ร่วมงานสุขใจ เป็นปลื้มกับผลงานและความสำเร็จนั้นขนาดไหน รู้สึกร่วมกันอย่างไรต่อชิ้นงาน ต่อความสำเร็จนั้น บางคนอาจจะเกิดอาการอึ้ง งงงวย ขวยเขิน คิดไม่ตกว่าจะตอบอย่างไร และหากได้คำตอบ บางทีคำตอบนั้นอาจจะทำให้เสียกำลังใจ และฉุดรั้งความพยายามครั้งใหม่ที่ร่วมด้วยช่วยกันอยู่ หากไม่ยอมรับว่าเรารวมตัวกันทำงานด้วยความเชื่อพื้นฐาน ทัศนคติหรือประสบการณ์ของแต่ละคนที่ต่างกันตั้งแต่ต้น แต่ละคนอาจจะใช้ความรู้สึก ค่านิยมหรือหลักยึดของตนไปตีความพฤติกรรมคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเป็นไปไม่ได้ว่าจะได้ตามความคาดหวังของทุกคนทั้งหมด ความไม่พึงพอใจของเราต่อเขา หรือของเขาต่อเราจะพรั่งพรูออกมา และเสี่ยงต่อความเจ็บปวดและเสียใจ หากไม่สามารถเปิดใจรับและจิตใจไม่มั่นคงพอ ในที่สุดความขัดแย้งใหม่อาจจะเกิดขึ้น

แต่ว่าหากจะบอกว่าตั้งคำถามเช่นนั้นได้อย่างไร? เพราะถ้าเชื่อว่าสรรพสิ่งนั้นดำเนินและลุล่วงไปตามธรรมชาติด้วยเหตุ-ปัจจัยที่ซับซ้อน ละเอียดอ่อน ยากจะหยั่งรู้ หรือควบคุมได้ จะสุขหรือทุกข์ ชื่นชมหรือไม่ จะคิดว่าเป็นความสำเร็จของคุณ ของฉันหรือของเรา มันจะแปลกตรงไหน เรามาเรียนรู้และยอมรับความต่างดีกว่า พวกเราแต่ละคนมีบทบาทหน้าที่และยังอยู่ร่วมกัน ทำงานด้วยกัน มาเสริมสร้างกำลังใจกันตลอดเส้นทางเดินไม่ดีกว่าหรือ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสคิดดังๆ เราทุกคนมีศักยภาพและสามารถจะตระหนักรู้ถึงความถูกต้อง ความผิดพลาด ความเหมาะสม ความสมบูรณ์ และสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเราจริงๆ และเราทุกคนพร้อมอยู่แล้วที่จะทำทุกอย่างให้ดีกว่าเดิม แต่เราต้องไม่ละเลยที่จะใส่ใจ ให้เวลากับตัวเองและผู้อื่นในการซึมซับสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์ของแต่ละคน และพร้อมจะนำไปสู่การแปลงที่ดีกว่าในทางปฏิบัติ

หากใจเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมเพื่อความสุขที่แท้และยั่งยืนตามที่ว่ากันอยู่นั้น และไม่รู้จะเริ่มดำเนินการจริงจังหรือตั้งหลักอย่างไรเพื่อไม่ตกกระแสยุคปฏิรูปสุขภาพใจ ผู้เขียนคิดถึงตัวช่วยหนึ่งเพื่อการประคองใจเรา ไม่ให้หลงไปในความคิดไม่ดีที่มีต่อตนเอง บุคคลใกล้ชิด เพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมทางชีวิต จะได้ทำให้เราสามารถปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างปกติเรียบร้อย นั่นคือการฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความชำนิชํานาญ ในการคิดเรื่องชื่นใจหรืออบอุ่นใจในอดีตของบุคคลเหล่านั้นหรือระหว่างเรา เพื่อใจที่สุขสงบ เบิกบาน ไม่ขุ่นมัว และอาจจะทำให้เราพร้อมที่จะขอโทษหรือให้อภัยกับเหตุแห่งความไม่พอใจทั้งหลาย

ตัวอย่างเล็กๆ ตัวอย่างหนึ่งที่จะลองหยิบยกขึ้นมา คือ เรื่องของหลานตัวน้อยในวัยเด็ก ที่เห็นตุ๊กแกเกาะอยู่บนฝาบ้าน แล้วพูดขึ้นว่า “จิ้งจกบ้านเราตัวใหญ่จัง” … ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการกระตุ้นเราให้แอบยิ้มกับหลาน จิตใจอ่อนโยน เกิดความรู้สึกเอ็นดูหลานเรา และจะดำรงอยู่ได้หากหวนคิดถึงทุกครั้ง ถึงแม้หลานน้อยจะเติบโตและเปลี่ยนไป โดยที่เราเองรู้สึกอยู่ว่าที่น่าชังนั้นมากกว่าน่ารักนิดหน่อยเสียแล้ว

สักวันหนึ่ง “จิตตปัญญาศึกษา” อาจจะเป็นตัวช่วยหนึ่งที่เพิ่มขึ้นในกระบวนการและปฏิบัติการที่เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และน้อมนำสิ่งที่เกิดจากการกระทำหรือการได้พบเห็นมาพินิจพิจารณา โดยจะเป็นวิธีการหรือกระบวนการเรียนรู้ที่ดีและเหมาะสม ทำให้เกิดความจัดเจนจากประสบการณ์เพื่อรังสรรค์สิ่งที่ดีกว่า

ความกล้าหาญในกระบวนการเรียนรู้

ความกล้าหาญในกระบวนการเรียนรู้

Author : เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา

ในกระบวนการเรียนรู้ชนิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงคนได้อย่างลึกซึ้งนั้น ความกล้าหาญถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ที่ลุ่มลึก เพราะเท่าที่สังเกตและรับฟังเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของการเติบโตภายในที่สำคัญๆ ของหลายคน ล้วนมีกลิ่นอายของความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญผสมอยู่ในการเรียนรู้ขณะนั้นๆ ที่กล่าวมานี้ก็มิได้หมายความว่า จะต้องพยายามสลัดทิ้งความกลัวภายในให้หมดก่อนทุกครั้งที่จะเรียนรู้สิ่งใด

สำหรับเราในฐานะผู้เรียน จะมีบางขณะที่กระบวนการเรียนรู้ดำเนินมาถึงบทเรียนสำคัญคือ ภาวะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนภายใน เช่น กรณีที่กระบวนกรบางท่านสามารถนำพวกเราเรียนรู้ไปสู่โลกภายใน ทำให้เราเห็นกิเลสวาสนาที่เราติดยึด เห็นการทำงานอย่างสลับซับซ้อนและรวดเร็วของจิตซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเป็นร่องลึกของอารมณ์ แต่เราก็แทบไม่รู้สึกตัวและแสดงออกมาเป็นบุคลิกด้านร้ายประจำตัว หลายคนขณะที่บทเรียนเกี่ยวกับตัวตนภายในกำลังดำเนินมาอยู่ตรงหน้านี้จะรู้สึกไม่คุ้นเคยที่ได้เห็นมัน บางคนไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเห็นว่าตัวตนภายในที่เป็นจริงของเราเป็นเช่นนี้ (ทั้งๆ ที่เราก็มีเมล็ดพันธุ์ด้านดีอยู่ไม่น้อย) เพราะการรับรู้ตัวตนภายในอย่างซื่อตรงนี้มักทำให้เราเจ็บปวด ไปจนถึงกลัวและเกลียดตัวเองได้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่ติดดีหรือมีภาพลักษณ์ภายนอกดูดี

ดังนั้นหากเราจะเรียนรู้บทเรียนราคาแพงนี้เพื่อไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิตจึงจำเป็นต้องกล้าหาญ กล้าที่จะเสี่ยงต่อความเจ็บปวดอันเนื่องจากตัวตนที่เรายึดมั่นมานานแสนนานกำลังสลายพังทลายลง กล้าที่จะเผชิญความจริงหลากหลายด้านที่มีในตัว เพราะในชีวิตประจำวันเรามักจะเลือกมองและเลือกรับรู้บางด้านที่เราอยากเห็นอยากให้เป็น บางด้านที่ไม่อยากรับรู้ทั้งที่มันมีอยู่เราก็มักกลบเกลื่อนหรือฝังกลบมันลงไปในห้องมืดของจิตใจ นอกจากนี้เราอาจต้องกล้าที่จะยอมลดการปกป้องตัวตนด้วยกลวิธีสารพัดที่เราเคยใช้ ถ้าหากเพื่อนหรือคนคุ้นเคยรอบข้างเริ่มล่วงรู้และเริ่มเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดและท่าทีเป็นความสัมพันธ์ที่แย่ลง แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมองเราอย่างตัดสินตายตัวก็ตาม

ความกล้าหาญที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับตัวตนภายในมักจะเป็นต้นธารของการมองเห็นและยอมรับตัวเองตามที่เราเป็น ความปลื้มปิติสุขอันเนื่องจากการเริ่มเห็นและยอมรับจะค่อยๆ เยียวยาความเจ็บปวดจากสภาวะตัวตนเก่าของเราถูกฉีกขาดลง และความสุขน้อยๆ ที่กำลังก่อตัวนี้มักจะทำให้เกิดประกายแห่งความสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างเรากับคนอื่น สายสัมพันธ์ใหม่น่าจะมีความแน่นเหนียวมากกว่าที่จะเปราะบางเพราะเป็นการคบคุ้นกันด้วยจิตใจที่มีการปรุงแต่งบิดเบือนน้อยลงไปทุกที ความสัมพันธ์ใหม่จึงมีความตรงไปตรงมา แต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและพร้อมที่จะเข้าใจ

ในอีกแง่หนึ่งบางครั้งบางคราวผู้เรียนจำต้องกล้าหาญที่จะยอมละทิ้งหรือวางความคิดความเชื่อบางอย่างที่เรายึดถือศรัทธามานาน กล้าหาญที่จะไม่พยายามปกป้องความเชื่อหรือทิฐิที่เรารักและแหนหวง ถ้าหากกระบวนการเรียนรู้นั้นมาถึงการปะทะสังสรรค์ทางความเชื่อความคิดจนเกิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจหรืออธิบายความจริงได้มากกว่า พูดอย่างรวบรัดก็คือ กล้าที่จะปล่อยวางความติดยึดในความคิดความเชื่อ ไม่ว่าความคิดความเชื่อนั้นจะมาจากครูบาอาจารย์ที่เราเคารพศรัทธามาก จะมาจากกระแสของกลุ่ม ชุมชนหรือสังคมที่เราสังกัดอยู่ หรือแม้แต่จะเป็นความคิดความเชื่อที่เคยถูกพิสูจน์ว่าเป็นจริงจากบริบทของอดีตแล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องกล้าหรือพร้อมที่จะเป็นแกะดำของกลุ่มกระแสความเชื่อเดิม หรือเป็นคนชายขอบของกลุ่มหรือสังคมที่เราอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวบ้างในบางช่วงของชีวิต ความกล้าหาญในแง่นี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสลายอัตตาที่เรียกว่า ทิฏฐุปาทาน หรือความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นนั่นเอง

ความกล้าหาญในแง่สุดท้ายที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือ กล้าที่จะเผชิญหน้ากับผู้ที่คิดหรือเชื่อต่างไปจากเรา กล้าที่จะเรียนรู้ร่วมกับคนที่มีวิธีการเรียนรู้ต่างจากเรารวมถึงคนที่ไม่ได้อยู่กลุ่มกระแสเดียวกับเรา เพราะคนเหล่านี้ล้วนทำให้เราต้องกลับมาใคร่ครวญภายใน ทำให้เราต้องถูกทดสอบหรือพิสูจน์ทั้งความเห็น ความใจกว้างและการติดยึดตัวตนภายในของเรา เพราะคนที่มีบางอย่างต่างไปจากเรามักจะตั้งคำถามท้าทายหรือถึงกับโจมตีความเห็นความเชื่อ ไปจนถึงโจมตีตัวตนของเรา จะทั้งหวังดีหรือหวังร้ายก็ตาม ซึ่งด้านหนึ่งทำให้เราไม่หลงใหลติดยึดความเห็นความเชื่อไปได้โดยง่าย แต่กลับจะเพิ่มสำนึกในการทบทวนค้นคว้าเพื่อตรวจสอบชุดความเชื่อความเห็นของเราอยู่เสมอ แต่หากเราเรียนรู้เฉพาะกับคนที่คิดคล้ายๆ กับเราอยู่เสมอๆ หรือพอใจเลือกเรียนรู้กับกลุ่มคนที่เป็นพวกเดียวกับเรา ก็มักจะทำให้เราหลงติดยึดความเห็นความเชื่อจนขาดการใคร่ครวญได้ง่าย ความกล้าหาญในแง่นี้จึงมาในรูปของการเชื้อเชิญ เปิดพื้นที่ มองคนที่ต่างจากเราเป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ทางสติปัญญา เพื่อพร้อมที่จะเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายได้

ความกล้าหาญในกระบวนการเรียนรู้ยังมีอีกหลายแง่มุมที่ไม่ได้กล่าวในที่นี้ อย่างไรก็ตามความกล้าก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย ดังนั้นมันจึงควรเป็นบทฝึกประจำตัวของผู้ใฝ่เรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงภายในอย่างลึกซึ้ง ที่จะหมั่นมองเข้าไปข้างในจนสัมผัสรับรู้สภาวะของจิตที่กำลังเกิดขึ้นแต่ละขณะ มองเห็นการปรุงแต่งของจิตซึ่งเปลี่ยนรูปแปลงร่างไปแต่ละขณะว่าเป็นอย่างไร การสัมผัสรับรู้ถึงความกล้าและความกลัวภายในบ่อยๆ ก็จะทำให้เราคุ้นเคยกับธรรมชาติของมัน ในด้านหนึ่งหากเราหมั่นสัมผัสรับรู้ถึงเมล็ดพันธุ์แห่งความขลาดกลัว ก็จะเริ่มรู้ว่าอะไรที่เป็นเหตุแห่งความขลาดกลัว เราจะค่อยๆ รู้ชัดเจนว่าเหตุปัจจัยนั้นจะสลายและอ่อนกำลังลงได้อย่างไร ในทางตรงข้ามหากเราหมั่นสัมผัสรับรู้ถึงเมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าหาญก็จะเริ่มรู้ว่าอะไรที่เป็นเหตุปัจจัยแห่งความกล้าและจะบ่มเพาะให้เกิดความเติบโตงอกงามได้อย่างไร

การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่คอยเกื้อกูลให้กำลังใจซึ่งกันละกันหรือรับฟังกันอย่างลึกซึ้งก็เป็นปัจจัยหนุนเสริมความกล้าหาญของเหล่าผู้เรียนได้ดีอีกทางหนึ่ง รวมถึงจัดกระบวนการที่เปิดพื้นที่ด้วยความใจกว้าง เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่แม้จะเสี่ยงแต่ก็ไม่อันตรายจนเกินไปย่อมช่วยให้ผู้เรียนเกิดความกล้าหาญได้ทีละเล็กทีละน้อย สองสามปัจจัยที่กล่าวมานี้คงพอจะทำให้รู้สึกมีความหวังในการบ่มเพาะความกล้าหาญได้ไม่มากก็น้อย โอกาสต่อไปจะได้กล่าวถึงความกล้าหาญของตัวกระบวนกรเอง

กระบวนการปฏิเสธตัวตน 1-2-3 และกระบวนการยอมรับตัวตน 3-2-1

กระบวนการปฏิเสธตัวตน 1-2-3 และกระบวนการยอมรับตัวตน 3-2-1

Author : เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา

เนื่องจากโลกนี้มีอย่างน้อยสามทัศน์หรือสามมุมมอง อันได้แก่ ทัศน์ของฉัน ทัศน์ของคนอื่น และทัศน์ของกระบวนการ หรือมุมมองบุคคลที่หนึ่ง มุมมองบุคคลที่สอง และมุมมองบุคคลที่สาม ตามลำดับ จิตใจของเราก็มีพื้นที่ให้โลดแล่นไปได้อย่างน้อยในสามมุมมองนี้ แต่ถึงคราวร้าย จิตใจของเรากลับเจ้าเล่ห์แสนกลใช้พื้นที่เหล่านี้อย่างไม่เข้าใจ

ด้วยการปฏิเสธบางส่วนของตัวเอง ตัวตนเริ่มเกิดรอยแยกเป็นสอง และตัวตนที่ถูกแยกและปฏิเสธออกไป ก็เริ่มถูกผลักออกจากพื้นที่ของมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ไปสู่พื้นที่มุมมองบุคคลที่สอง อันเป็นพื้นที่แห่งการต่อรองระหว่างตัวตนฉันและตัวตนที่ไม่ใช่ฉัน คล้ายกับว่ามีสองคนในร่างเดียว ที่ต่างคนต่างถกเถียงกันไปมา และต่อรองว่าใครถูกใครผิด แต่กระนั้นการต่อรองในพื้นที่มุมมองบุคคลที่สองยังคงใกล้เกินไป และมีโอกาสสร้างความเจ็บปวดได้ง่าย ทำให้กระบวนการปฏิเสธตัวตนรุนแรงออกไปจนกลายเป็นการผลักออกไปสู่พื้นที่บุคคลที่สาม อันเป็นพื้นที่ที่เจ็บปวดน้อยกว่า ตัวตนที่ถูกปฏิเสธไม่ใช่ทั้งฉัน ไม่ใช่ทั้งคนอื่น แต่เป็น “มัน” ที่ฉันไม่รู้จัก และไม่อยากจะรับรู้ว่ามี “มัน” อยู่ พร้อมกันนั้นก็สร้างกำแพงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งเพื่อปกป้องตัวตนที่เจ็บปวดอยู่ภายใน ปิดประตู และใส่กลอนไว้อย่างหนาแน่นจนยากที่จะเข้าไปได้

กระบวนการข้างต้นนี้เรียกว่า กระบวนการปฏิเสธตัวตน 1-2-3 หรือกระบวนการแยกตัวตนออกจากพื้นที่มุมมองบุคคลที่หนึ่ง ไปสู่พื้นที่มุมมองบุคคลที่สอง และไปสู่พื้นที่มุมมองบุคคลที่สาม การปฏิเสธก่อให้เกิดการสูญเสียพลังทางจิตใจอย่างมาก เนื่องจากต้องคอยปกป้องและปกปิดการรับรู้การมีอยู่ของตัวตนที่รู้สึกว่าน่ารังเกียจ การปกป้องตัวเองในทางจิตวิเคราะห์เรียกว่า “กลไกการป้องกันตนเอง” (defense mechanism) และการปกปิดการรับรู้ว่ามี “มัน” อยู่ อาศัยการเอาตัวตนที่ถูกปฏิเสธไปเก็บไว้ในจิตไร้สำนึก

แท้จริงแล้ว ตัวตนที่ถูกปฏิเสธไม่ได้หายไป แต่หลบซ่อนอยู่ในจิตไร้สำนึก บางครั้งเหมือนจะเห็น แต่ก็ไม่เห็น ด้วยจิตสำนึก มีแต่เงาที่คอยตามหลอกหลอนเราอยู่ร่ำไป คาร์ล ยุงเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “เงา” (shadow) ซึ่งคอยติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง ตัวตนที่ไม่ใช่ฉันกลายเป็นเงาคอยทำงานซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเรา คอยทำหน้าที่บงการ และนำพาชีวิตของเราไปตามอำนาจที่ซุกซ่อนและปกปิดอยู่ในจิตไร้สำนึก จนกระทั่งดูเหมือนว่าเราเป็นผู้เลือกได้เอง แต่ตรงกันข้าม เราต่างหากที่ถูกเลือก อันเป็นผลกรรมมาจากการแยกตัวตนออกเป็นสองตั้งแต่ต้น เงาแสดงตัวออกมาทั้งในด้านลบและบวก ในด้านลบ เงาอาจแสดงตัวโดยการโยนความผิดไปที่คนอื่น เช่น “ฉันไม่ได้โกธร เธอนั่นแหละโกรธ” แต่แท้จริงแล้วฉันกำลังปฏิเสธว่าฉันเองนั่นแหละที่เป็นคนโกรธ หรือในด้านบวก เงาอาจแสดงตัวโดยการชื่นชมคนอื่นในรูปแบบของศรัทธาหรือหลงใหลอย่างหน้ามืดตามัว ซึ่งแท้จริงแล้วฉันกำลังสร้าง “ฉันในอุดมคติ” ที่อยากจะเป็น แล้วปฏิเสธการชื่นชมและศรัทธาตัวเอง ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่ได้โกรธ หรือไม่น่าชื่นชม แต่เป็นสองส่วนที่จำเป็นต้องแยกออกจากกัน กล่าวคือส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนของคนอื่น เป็นสิ่งที่เราสามารถรับทราบข้อมูลความเป็นไปของเขา แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนที่เราอาจตอบสนองมากเกินกว่าปกติ ซึ่งการตอบสนองเกินปกติในส่วนที่สองนี้เอง คือการแสดงตัวของเงา

กระบวนการผสานรอยแยกระหว่างตัวตน คือกระบวนการนำพาตัวตนที่ถูกปฏิเสธจากพื้นที่มุมมองที่ห่างไกล กลับมาสู่บ้านที่แท้ในพื้นที่มุมมองบุคคลที่หนึ่ง กระบวนการนี้คือ กระบวนการยอมรับตัวตน 3-2-1

กระบวนการในขั้น 3 คือ การหาเงาให้เจอเพื่อหันกลับมาเผชิญกับ “มัน” หรือตัวตนที่ไม่ใช่ฉัน การหาเงาให้เจอเป็นเรื่องไม่ง่าย เนื่องจากมันได้ถูกกักเก็บเอาไว้แล้วในจิตไร้สำนึก สิ่งที่เราอาจพอสังเกตได้คือ กลไกการป้องกันตนเอง อนึ่งกลไกป้องกันตนเองเป็นธรรมชาติของจิตที่จำเป็นจะต้องมีเพื่อใช้คัดกรองสิ่งที่ควรรับและควรปฏิเสธ เพื่อให้มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างราบรื่น แต่การใช้กลไกป้องกันตนเองมากเกินกว่าการคัดกรอง เช่น การโยนความผิดไปทำร้ายคนอื่น การเก็บกดเข้ามาทำร้ายตัวเอง หรือการใช้เหตุผลเพื่อหนีเอาตัวรอด ต่างมีรากมาจากเงาทั้งสิ้น การสังเกตกลไกการป้องกันตนเอง เป็นหนทางหนึ่งในอีกหลากหลายหนทางที่จะนำไปสู่การหาเงาให้เจอ และสามารถเผชิญหน้ากับตัวตนที่ไม่ใช่ฉันได้ในที่สุด

กระบวนการในขั้น 2 คือ การพูดคุยระหว่างตัวตนฉันกับ “มัน” โดยอาจเริ่มต้นใช้คำถามว่า “เธอคือใคร” “เธอต้องการอะไรจากฉัน” “เธอเอาอะไรมาให้ฉัน” เป็นต้น กระบวนการพูดคุยอาจเกิดขึ้นภายในตัวเราเอง หรืออาจเกิดขึ้นระหว่างการรับคำปรึกษากับผู้ให้คำปรึกษาก็เป็นได้

กระบวนการในขั้น 1 คือ การกลับไปเป็น “มัน” คือการเข้าไปสู่โลกของตัวตนที่ไม่ใช่ฉัน โลกที่เจ็บปวด โลกที่ตัวฉันช่างอ่อนแอ ช่างน่ารังเกียจ การยอมรับความอ่อนแอและความน่ารังเกียจเท่านั้นที่ช่วยให้ “ฉัน” เป็นหนึ่งเดียวกับ “มัน” เช่น “ฉันเองที่เป็นคนโกรธ” “ฉันเองที่รู้สึกว่าไม่ดีพอ” เป็นต้น

เมื่อ ” ฉัน ” หรือตัวตนฉัน เป็นหนึ่งเดียวกับ ” มัน ” หรือตัวตนที่ไม่ใช่ฉัน การผสานรอยแยกระหว่างตัวตนก็เกิดขึ้น เป็นการบำบัดรักษาจิตใจ และสิ้นสุดกระบวนการยอมรับตัวตน 3-2-1 ในที่สุด และการยอมรับตัวตนถึงที่สุดนี้เท่านั้น ที่จะเป็นฐานให้แก่กระบวนการข้ามพ้นความทุกข์ในระดับปัญญาต่อไป

หมายเหตุ: บทความนี้ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเคน วิลเบอร์ ในหนังสือชื่อ Integral Spirituality บทที่ 6 ว่าด้วยเรื่อง “เงาและตัวตนที่ถูกปฏิเสธ” (The Shadow and the Disowned Self)

คนตัวเล็กๆ ไม่กี่คนจะเปลี่ยนแปลงองค์กรได้อย่างไร?

คนตัวเล็กๆ ไม่กี่คนจะเปลี่ยนแปลงองค์กรได้อย่างไร?

Author : เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา

คำถามยอดฮิตที่พวกเรามักจะถูกถามเสมอในการทำเวิร์คช็อพกับหน่วยงานต่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็คือคำถามประมาณนี้ครับ

“คนตัวเล็กๆ อย่างพวกเราจะเปลี่ยนแปลงองค์กรได้อย่างไร?” หรือ “คนเพียงไม่กี่คนจะไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรได้อย่างไร?”

นอกจากนั้นก็จะมีสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอๆ ตามมา นั่นคือหลายๆ คนก็มักจะบอกว่า อยากให้หัวหน้าหน่วยงานมาทำกิจกรรมแบบนี้ ได้มาเรียนรู้แบบนี้ หรือบางท่านก็บอกว่าอยากจะให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้มีโอกาสมาร่วมกิจกรรมแบบนี้

สำหรับคนที่อยากจะให้ “หัวหน้า” มาเปลี่ยนแปลงถ้ามองในแง่ดีว่าไม่ได้คิดไม่ได้มอง “หัวหน้าเป็นตัวปัญหา” ก็น่าจะหมายถึงว่า “หัวหน้าเป็นผู้มีอำนาจ” บางทีผมก็อยากจะถามว่า “แล้วหัวหน้าคุณเค้าไม่มีหัวหน้าอีกต่อหนึ่งเหรอ เขาใหญ่จริงเหรอที่จะทำอะไรก็ได้ตามแบบที่คุณคิด” หรือ “บางทีหัวหน้าคุณเขาก็อาจจะคิดว่าตัวเขาเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ แบบคุณด้วยเช่นกันได้มั๊ย?”

คำถามนี้ถ้าจะให้ผมตอบแบบวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ ผมก็อยากจะตอบว่า ผมเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่คนไม่กี่คนจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้

แต่มีข้อแม้นะครับว่า “คนตัวเล็กๆ” เหล่านั้นจะต้องมี “การเปลี่ยนแปลง” อย่างจริงๆ จังๆ เสียก่อนนะถึงจะสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กรได้

เหตุผลประการแรก คือ ณ วินาทีที่คุณ “เปลี่ยนแปลงตัวตน” ของคุณได้ เมื่อคุณกลายเป็นคนๆ ใหม่ที่มองเห็นความสำคัญของความเป็นมนุษย์ของผู้คนในองค์กร มองเห็นความสำคัญของมิตรไมตรีของคนในองค์กร มองเห็นความสำคัญของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันมากกว่าที่จะมุ่งมองเฉพาะผลกำไรหรือผลสำเร็จขององค์กรแต่เพียงอย่างเดียว ณ วินาทีนั้นองค์กรทั้งองค์กรของคุณก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน เพราะคุณและองค์กรต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ “ซ้อนทับกัน” แบบกล่องซ้อนกล่องซ้อนกล่องเหมือนกับการที่เซลล์ดำรงอยู่ในเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อดำรงอยู่ในอวัยวะ และอวัยวะดำรงอยู่ในร่างกายของมนุษย์

เหตุผลประการที่สอง คือในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่นั้น เราไม่ได้เชื่อเรื่องของ “แรง” แต่เพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าในเชิงกายภาพ “แรงมาก” ก็ย่อม “เกิดผลมาก” เช่นการผลักวัตถุชิ้นใหญ่ก็ต้องออกแรงมากกว่าการผลักวัตถุชิ้นที่เล็กกว่า แต่ในเชิงพลังงานหรือมิติที่ซ่อนเร้นอยู่ในโลกกายภาพเหล่านั้น การเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่ต้องอาศัยแรงแต่เพียงอย่างเดียว

ทฤษฎีไร้ระเบียบก็บอกเรื่องราวแบบนี้ประมาณว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่จุดเล็กๆ ตรงชายขอบแล้วเกิดวงจรขยายลุกลามไปให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบเป็น “Butterfly Effect”

ทุกวันนี้ การที่คนผิวดำในสหรัฐอเมริกาได้สิทธิตามกฎหมายที่เท่าเทียมกับคนผิวขาวนั้น “จุดเริ่มต้น” เป็นเพราะผลงานของผู้หญิงผิวดำแก่ๆ คนหนึ่ง เธอปฏิเสธที่จะไม่สละที่นั่งบนรถเมล์ให้กับคนผิวขาวคนหนึ่งตามกฎหมายขณะนั้นปี 1955 “จุดเริ่มต้น” ไม่ได้เกิดจากฮีโร่ คนตัวใหญ่ๆ หรือคนมีอำนาจคนไหนเลย

ปฏิกิริยาทางนิวเคลียร์ก็เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดจากการแตกตัวของจุดเล็กๆ ในระบบในทำนองเดียวกัน

ด้วย “มุมมองที่ไม่ถูกต้อง” ในกรณีแบบนี้จะทำให้ “เกิดความเข้าใจผิด” ที่นำไปสู่ “ความท้อแท้” “ความไม่เข้าใจ” ว่า “ตัวเล็กๆ อย่างฉัน ทำอะไรไม่ได้หรอก” หรือ “คนไม่กี่คนจะไปเปลี่ยนแปลงองค์กรได้อย่างไรกัน” อย่างไรก็ตามผมเขียนบทความชิ้นนี้เพียงเพื่ออยากจะให้เข้าใจร่วมกันว่า “เป็นไปได้” นะครับ ไม่ได้เขียนเพื่อมาปลอบอกปลอบใจอะไรกันให้เกิดความมุมานะ แต่เขียนเพราะ “มันเป็นแบบนั้นจริงๆ” ไม่ได้มาปลอบมาโยน มาให้กำลังใจอะไรกันทั้งนั้นทั้งสิ้น

มาร์กาเร็ต เจ. วีตเลย์ ผู้เขียนหนังสือดังๆ หลายเล่ม เช่น “ผู้นำกับวิทยาศาสตร์ใหม่” “หันหน้าเข้าหากัน” และอื่นๆ เธอมีประสบการณ์ในการทำงานเพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีประสิทธิภาพตามแนววิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ เธอบอกไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงในองค์กรจะเกิดขึ้นเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนนั้น นอกจากจะต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของ “ใครก็ได้” ในองค์กรแล้ว ยังมักจะต้องอาศัยเวลาอีกอย่างน้อย ๓-๕ ปี

ประการแรกต้องเข้าใจว่า ทุกคนในองค์กรมีความหมายมีความสำคัญจริงๆ ต่อองค์กร การบริหารงานในวิทยาศาสตร์ใหม่นั้น ในเบื้องต้นเราไม่ได้สนใจว่า จำนวนผู้คนจะมากน้อยแค่ไหน แต่เราจะสนใจใน “คุณภาพของการเปลี่ยนแปลง” ของผู้คนในองค์กรว่ามีการเรียนรู้อย่างไร มีความเข้าใจความสำคัญของการเชื่อมโยงอย่างไร ใช้อำนาจอย่างไร

ประการที่สองคือ วัฒนธรรมขององค์กรนั้น “สื่อสารกันอย่างไร” และการสื่อสารภายในองค์กร หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องหันกลับมาสู่ “การฝึกฝนทักษะการฟัง” ที่จะสามารถ “ร้อยเรียง” และ “เชื่อมโยง” ผู้คนต่างๆ ในองค์กรให้เข้ามาพูดคุยกัน เรียนรู้ร่วมกัน แก้ไขปัญหาร่วมกันและสร้างนวัตกรรมและความรู้ใหม่ๆ ร่วมกัน

ต่อเมื่อสองเรื่องหลักนี้ “ก่อเกิด” ขึ้นมาอย่างแท้จริงแล้ว “ณ เมื่อเวลานั้น” โครงสร้างในองค์กรแบบเก่า โครงสร้างอำนาจแบบเก่าที่เป็นแนวดิ่ง ก็จะค่อยๆ สั่นคลอนพังทลายและล้มครืนลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตาของเรา

จัดลำดับชีวิต จัดลำดับความสุข

จัดลำดับชีวิต จัดลำดับความสุข

Author : ชลลดา ทองทวี เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา

ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้การเจริญสติวิปัสสนา ร่วมกับผู้ป่วยใน “โครงการรักษาใจยามเจ็บป่วย” ของโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นโครงการที่แพทย์และพยาบาลร่วมกัน จัดขึ้นเพื่อเยียวยาผู้ป่วยโรคมะเร็งและอื่นๆ เพื่อให้พ้นทุกข์ทางใจ แม้ร่างกายกำลังเจ็บป่วย โดยตอนต้นของกิจกรรมนั้น เป็นการพูดคุยระหว่างอาจารย์หมอ ศาสตราจารย์ พญ. สุมาลี นิมมานนิตย์ และผู้ป่วย โดยต่างเล่าถึงอาการทางกายและใจในระยะเวลาที่ผ่านมา รวมถึงการนำเอาการฝึกสติไปใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งในบางกรณี การฝึกสตินั้น สามารถช่วยรักษาโรคให้หายหรือทุเลาลงได้ แต่บางกรณี แม้ยังไม่สามารถรักษาโรคให้หายได้ แต่จิตใจกลับไม่ทุกข์ตามโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้เขียนได้ไปนั่งเรียนรู้ท่ามกลางผู้ป่วยเหล่านั้น รู้สึกว่าท่านทั้งหลายมีความสุข อาจจะมากกว่าคนที่ไม่เจ็บป่วยหลายคนด้วยซ้ำ

หลังจากที่คุณหมอและผู้เข้าร่วมได้สนทนากันสักพัก ก็เปลี่ยนเป็นการฝึกสติตามอิริยาบถการก้าวย่าง ฝึกการรับรู้ความรู้สึกทางร่างกาย การเท่าทันความคิดและอารมณ์ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการก้าวย่างนั้น รวมถึงการฝึกนั่งสมาธิ การเฝ้าดูการหายใจและปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายอย่างเป็นปัจจุบัน ซึ่งทั้งอาจารย์หมอและคุณพยาบาลจะเน้นเรื่อง “การรับรู้ตามความเป็นจริง” เช่น เมื่อคิด รู้ว่าคิด ได้ยิน รู้ว่าได้ยิน ได้กลิ่น รู้ว่าได้กลิ่น ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ผ่านเข้ามา เสียง สัมผัสต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะมีลักษณะเหมือนกันคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป “เป็นจริง” ตามที่ปรากฏ ณ ขณะนั้น

โดยปกติความคิดของคนแต่ละคนจะแว้บไปคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้เร็วมาก อารมณ์ความรู้สึกก็เร็วไม่แพ้กัน สติจะระลึกรู้ตามไป บางครั้งเมื่อสติตามรู้ว่าแว้บไปแล้ว เครียดไปแล้ว มักจะเปลี่ยนเป็นไม่อยากเครียด โกรธ อยากหาย อารมณ์ ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปเร็ว การฝึกสติ ก็จะตามรู้ตามเข้าใจไปเช่นนั้น ในที่สุดจะเข้าใจ “ความจริง” ของการเปลี่ยนแปลง

การฝึกการเดินจงกรม หรือการเดินก้าวย่างอย่างมีสติ รวมทั้งการนั่งสมาธิ โดยเน้นการจัดวางร่างกายให้ลงนั่งอย่างเชื่องช้านั้น เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่ง การชะลออิริยาบถทางร่างกายให้ช้าลง จะทำให้เห็นอิริยาบถทางใจได้ชัด ว่าจิตใจไม่ได้ช้าตามเลย บังคับก็ไม่ได้ และเมื่อใจเผลอไปคิดแว้บหนึ่ง ก็จะลืมอิริยาบถที่กำลังปฏิบัติไปแว้บหนึ่งเช่นกัน ก็รู้ว่าลืม ตั้งต้นใหม่ ให้อภัยตนเอง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ทั้งยังเป็นเรื่องของปัญญา ที่จะเท่าทันกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น วางจิต วางใจ ได้อย่างเป็นกลาง ท่ามกลางความเป็นปัจจุบัน ความจำได้หมายรู้จะบอกทางต่อ ว่านับจังหวะไปถึงไหนแล้ว ความจำได้หมายรู้ในทางบังคับจะบอกหนทางหนึ่ง ความจำได้ในทางเผลอก็บอกอีกทางหนึ่ง เหล่านี้เกิดขึ้นเร็วมาก ตามดูตามรู้แทบไม่ทัน และใจก็หลอกตัวเองว่าไม่หลง ไม่เผลอสักหน่อย นับได้จนครบ แต่แท้ที่จริงหลงกับเผลอไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ผู้เขียนรับรองว่าการฝึกเช่นนี้จะทำให้มีโอกาสให้อภัยตนเองนับครั้งไม่ถ้วน เป็นเมตตาภาวนาได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้เกิดความรักตนเองและผู้อื่น เข้าใจว่าคนเรามีสิทธิ์เดินผิดพลาดได้ เมื่อผิดได้ก็แก้ไขได้ สติเกิดขึ้น กลับมาสู่ปัจจุบัน แล้วสติก็หายไปบ้าง แล้วก็กลับมาใหม่ ความเผลอก็หายไปต่อหน้าต่อตาได้เช่นกัน แล้วก็เดินหน้าต่อไปได้  

ผู้เขียนรู้สึกว่าการฝึกวิปัสสนาร่วมกับแพทย์ พยาบาลและผู้ป่วยที่โรงพยาบาลศิริราชนี้ ทำให้ผู้เขียนสามารถเข้าใจความเป็นจริงประการหนึ่ง ว่าสิ่งทั้งหลายบนโลกไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เพราะไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งชีวิต ร่างกาย และจิตใจให้เที่ยงได้ วิทยาศาสตร์เป็นเพียงความจริงบนพื้นฐานของการสมมติ (สมมติสัจจะ; Relative Truth) เท่าที่จะประดิษฐ์ถ้อยคำหรือสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารระหว่างกัน รวมทั้งเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ของความคิด จินตนาการบนโลกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

แต่กระบวนการสร้างปัญญาสำหรับบุคคลๆ หนึ่งให้เข้าถึงความจริงที่แท้ ในระดับที่สูงขึ้น น่าจะตั้งอยู่บนการเรียนรู้ความเป็นจริงของกายและใจของตัวมนุษย์เอง ซึ่งมนุษย์แต่ละคนมีความเป็นปกติ ธรรมดาธรรมชาติที่ไม่ต่างกัน น่าจะเรียนรู้ร่วมกันได้ และในที่สุด สามารถนำความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ไปช่วยเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากกองทุกข์ได้จริงๆ สมควรเป็นวิชาที่มนุษย์ทุกคนน่าจะได้ฝึกฝนเรียนรู้ และถ่ายทอดออกเป็นภาษาที่แต่ละคนแต่ละกลุ่มสามารถเข้าใจได้ ตามบริบท ตามจริตและวิถีชีวิต แม้นชุดภาษานั้น จะเป็นเพียงสมมติสัจจะก็ตาม แต่ท้ายที่สุดก็ย่อมต้องการการสื่อสาร เพื่อเป็นแนวทางในการเชื่อมโยงความรู้ภายในของแต่ละคน ให้ปรากฏออกมา ง่ายต่อการเข้าใจร่วมกัน และเมื่อนั้น มนุษย์แต่ละคนก็จะสามารถน้อมนำความรู้ของกันและกันไปเรียนรู้และปฏิบัติได้ด้วยตนเองต่อไป ดังที่อาจารย์หมอได้เพียรพยายามพูดคุยซักถามแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกคน ก่อนและหลังการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 

ผู้เขียนเห็นว่าผู้ป่วยที่มาฝึกปฏิบัตินั้น เข้าใจหลักการได้ไม่ยาก และท่านเหล่านั้นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างยิ่ง หลังจากการฝึกเดินและนั่งอย่างมีสติร่วมกัน ผู้เขียนยังเชื่ออีกว่า พลังกลุ่ม พลังความเป็นเพื่อนเป็นกัลยาณมิตรนั้น ส่งผลต่อความก้าวหน้าในการฝึกไม่มากก็น้อย นึกถึงผู้ป่วยท่านอื่นๆ ที่น่าจะมีโอกาสได้รักษาใจยามเจ็บป่วย หรือคนที่ยังไม่ป่วยกายแต่ป่วยใจก็มีมากมาย หวังว่าท่านเหล่านั้นจะยังไม่ท้อแท้ ผู้เขียนเชื่อว่าทุกชีวิตมีคุณค่า ไม่ว่าท่านกำลังประสบพบเจอเหตุการณ์ใดที่ทำให้ทุกข์แสนสาหัส ขอมอบเรื่องราวข้างต้นไว้เป็นกำลังใจ อย่าเพิ่งท้อแท้ วันหนึ่งประสบการณ์ของท่านอาจสามารถช่วยผู้อื่นที่กำลังตกทุกข์ได้ยากได้อย่างดีเยี่ยม  ดังเช่น แพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราชได้ร่วมกันเยียวยาหัวใจของกันและกัน อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดเท่าที่มนุษย์จะพึงกระทำได้ ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้

Source : คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๐

วิศวกรมนุษย์

วิศวกรมนุษย์

Author : ศุภชัย พงศ์ภคเธียร เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา

ผมเป็นวิศวกรคนหนึ่ง ที่ภาคภูมิใจในความเป็นวิศวกรซึ่งจบจากสถาบันอันมีชื่อของประเทศ ที่เด็กนักเรียนมัธยมจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาศึกษา พอนึกถึงสมัยเป็นเด็กมัธยม ช่วงนั้นเราต้องเรียน ต้องติววิชาต่างๆ ที่จะใช้เอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยอย่างหนัก ในตอนกลางวันต้องเรียนที่โรงเรียนตามหลักสูตร พอเลิกเรียนก็ต้องรีบไปติววิชาภาษาอังกฤษในสถาบันมีชื่อย่านวังบูรพา จำได้ว่าในห้องเรียนนั่งอัดกันอย่างกับปลากระป๋อง แทบจะไม่มีทางเดิน ซ้ำยังต่อทีวีวงจรปิดไปเรียนชั้นอื่นอีกด้วย และยังบันทึกเทปไว้ สำหรับคนที่ไม่สามารถมาเรียนสดกับตัวอาจารย์ได้ ค่าใช้จ่ายก็สูงเกือบเท่าเรียนสดกับอาจารย์  

กว่าจะได้กลับถึงบ้าน ก็ 4-5 ทุ่ม หรือกว่านั้น พอถึงบ้านก็รีบกินข้าว อาบน้ำ แล้วก็ต้องรีบทำการบ้าน แบบฝึกหัดของครูที่โรงเรียนสั่งไว้ ซึ่งก็มีมาก ขณะเดียวกันก็ต้องฝึกทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในวิชาต่างๆ  อาจารย์ที่โรงเรียนกวดวิชาจะใช้ข้อสอบคัดเลือกเข้ามหา’ลัยในปีการศึกษาต่างๆ แล้วยังใช้ข้อสอบระดับสูงกว่าขึ้นไปอีก เช่น ข้อสอบระดับปริญญาโท-เอกมาทดสอบกันด้วย เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปติววิชาอื่นๆ ตามโรงเรียนกวดวิชา เป็นอย่างนี้ทุกวันในช่วงเรียนมัธยมปลาย แทบไม่มีวันหยุด

จนกระทั่งช่วงใกล้สอบเอนทรานซ์พวกเราจะเก็บตัวติวเข้ม บ้างเก็บตัวเป็นกลุ่ม บางกลุ่มก็ 4-5 คน บางคนก็ซุ่มดูหนังสือคนเดียว พวกเราเอาจริงเอาจังมาก ราวกับนักกีฬาทีมชาติเก็บตัวก่อนแข่งขัน บางคนเครียดจนต้องอาศัยยาคลายเครียด บางคนผู้ปกครองต้องพาไปพบแพทย์ บ้างก็หายาบำรุงอาหารเสริมมาช่วย น่าสงสารพวกเรานะที่ต้องแข่งขัน เอาจริงเอาจังกันจนแทบจะไม่ห่วงชีวิต ไม่ห่วงสุขภาพกันเลย

พอมาปัจจุบัน กว่า 30 ปีผ่านไป ลูกสาวผมเองก็กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายเหมือนกัน เมื่อคืนก่อนเธอโทรมาบอกว่าให้ช่วยไปรับเธอหน่อย เพราะ เธอนั่งรถเมล์หลับด้วยความอ่อนเพลีย จนเลยป้ายที่จะต้องลงไปไกล ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ทำให้ผมรู้สึกสะท้อนใจ ที่พวกเราเติบโตมาในสังคม ในระบบการศึกษา ที่เตรียมพวกเราเพื่อป้อนให้กับความต้องการของภาคธุรกิจ ซึ่งพวกเราก็ตั้งใจทุ่มเทเวลา ชีวิตของพวกเราให้กับการศึกษา เพื่อความเป็นเลิศตามค่านิยมแบบนี้

ในช่วงที่เรียนอยู่ในคณะวิศวะ  พวกเราก็เรียน เล่น และทำกิจกรรมต่างๆ ตามค่านิยมของนักศึกษาสมัยนั้น ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องเรียนหนักเรื่องการคำนวณ  คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสาขาต่างๆ แต่ที่น่าแปลก คือไม่มีการเรียนรู้ศาสตร์เกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับตัวเอง หรือเรียนรู้ว่าทำอย่างไรเราจึงจะมีชีวิตที่มีคุณภาพ มีความสุข

สิ่งที่ทำให้ผมตั้งใจที่จะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองขนานใหญ่ เกิดขึ้นในช่วงเรียนจบแล้วประมาณ 4 ปี ช่วงนั้นผมก็ใช้ชีวิตกลางวันทำงาน กลางคืนเที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายาตามประสาวิศวกรหนุ่มโสดทั่วไป ทำให้เห็นคนชอบเที่ยว ชอบเมาแทบทุกคืน ดีกว่าสมัยเป็นนักศึกษาหน่อย ตรงที่ตอนโตแล้วไม่ถึงขนาดสร้างวีรกรรมไว้ต่างๆ นานา จนต้องออกตามหา อย่างบางคนก็ไปนอนตามแผงผักที่ตลาด บางคนไปเจอที่ป้ายรถเมล์ บางคนก็ไปเจอที่ม้านั่งในโรงอาหาร ที่หอพักบ้าง

พอคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ทำให้ผมก็อดคิดไปไม่ได้ว่า ปกติพวกเราก็เมาชีวิตอยู่แล้ว ทำไมเรายังจะกินเหล้ากันให้เมาเข้าไปอีก ยิ่งทำให้เมาในเมา ยิ่งทำให้ “หลงชีวิต” เข้าไปกันใหญ่ เลยเป็นที่มา ทำให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเองขึ้นมาว่า “ชีวิตคนเรา มีอะไรเป็นเป้าหมายกันแน่?” แล้วเราจะพัฒนาตนเองอย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของชีวิต เราเรียนอะไรมาตั้งมากมาย  มนุษย์เราสามารถหาความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ในโลกได้มหาศาล แต่เรากลับไม่ได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง โดยเฉพาะความรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตใจ

เพื่อนหลายคนยิ่งทำงานยิ่งเครียด ยิ่งรวยยิ่งเครียด เรามักได้ยินคนพูดกันว่า “สุข-ทุกข์อยู่ที่ใจ” แต่เราก็พบว่าแม้แต่คนพูดก็ยังถูกความทุกข์เล่นงานเอา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจว่า เราจะต้องศึกษาหาความรู้เรื่องชีวิตของคนเราให้ได้ด้วย และถ้าไม่ถูกความทุกข์เล่นงานเหมือนอย่างคนทั่วไปก็จะดี

ในยุคนี้ยังดีที่เรามีการศึกษาค้นคว้าศาสตร์ในเรื่องของจิตใจอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น และแสวงหาความรู้ได้ง่ายขึ้น หลากหลายกว้างขวางขึ้น แต่ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาตำรา หรือฟังจากครูบาอาจารย์ เป็นเพียงความรู้ที่เราเข้าใจ จำได้ คิดได้ แต่ก็ยังอยู่ในระดับจินตนาการเอา ยังไม่ใช่ความรู้ หรือปัญญา ที่เกิดจากประสบการณ์ เกิดจากการตระหนักรู้ ได้จากการปฏิบัติด้วยตัวเอง

จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าเราได้เรียนรู้ ได้พัฒนาศักยภาพภายในตนเอง ให้เรารู้เท่าทันความคิด รู้จักอารมณ์ รู้จักธรรมชาติของเราเองดีขึ้น รู้ว่าอะไรคือคุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่จะมีจะเป็นได้ ควบคู่ไปกับศาสตร์ที่เราต้องเรียน เพื่อใช้ประกอบอาชีพ เพื่อช่วยเหลือสังคม และหล่อเลี้ยงชีวิตตนเองไปด้วยกัน พวกเราคงจะมีความสุขในชีวิตมากขึ้น ไม่ถูกความเครียด ความทุกข์เล่นงาน

จะดีกว่าไหม ถ้ารู้จักชีวิตดีขึ้น สามารถออกแบบ สามารถสร้างชีวิตที่เราปรารถนาได้มากขึ้น ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้าง

พอชีวิตระยะหลัง ผมหันมาสนใจงานการศึกษา งานพัฒนาเยาวชนมากขึ้น จนอาจารย์ที่นับถือกัน ล้อเลียนว่า ตอนนี้ผมไม่ใช่วิศวกรแล้ว ทีแรกก็แปลกใจ และสงสัยเล็กน้อย แต่พออาจารย์อธิบายว่า ก็เปลี่ยนจากวิศวกรสร้างเครื่องจักรเครื่องยนต์ มาเป็นวิศวกรสร้างมนุษย์แทน ก็รู้สึกแปลกดีเหมือนกัน ถ้าจะมีวิศวกรสาขาใหม่เป็น “วิศวกรมนุษย์”  ผมเชื่อว่าเราสามารถเป็น “วิศวกรมนุษย์” กันได้ทุกคน ถ้าเราสามารถสร้าง “ความเป็นมนุษย์” ให้กับตัวเราเองได้ และถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเราได้ เราก็จะรู้วิธีการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้กับบุตรหลาน และเยาวชนของเราได้

ถึงแม้เราจะตั้งใจหรือไม่ ตัวเราเองก็เป็นผู้สร้างชีวิตของเรา เพราะมนุษย์เรา คิดอย่างไร ทำอย่างไร เชื่ออย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น จึงเท่ากับว่า เราก็เป็น”วิศวกรมนุษย์”  ผู้สร้างชีวิตของตัวเอง ขณะเดียวกัน ชีวิตของเราก็จะกลายเป็นแบบอย่าง เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนรอบข้างและคนรุ่นต่อๆไปในสังคม ไม่ว่าเราจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม

Source : คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๐

เข้าใจโลกและชีวิต

เข้าใจโลกและชีวิต

Author : จารุพรรณ กุลดิลก เครือข่ายจิตตปัญญาศึกษา

ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้การเจริญสติวิปัสสนา ร่วมกับผู้ป่วยใน “โครงการรักษาใจยามเจ็บป่วย” ของโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นโครงการที่แพทย์และพยาบาลร่วมกัน จัดขึ้นเพื่อเยียวยาผู้ป่วยโรคมะเร็งและอื่นๆ เพื่อให้พ้นทุกข์ทางใจ แม้ร่างกายกำลังเจ็บป่วย โดยตอนต้นของกิจกรรมนั้น เป็นการพูดคุยระหว่างอาจารย์หมอ ศาสตราจารย์ พญ. สุมาลี นิมมานนิตย์ และผู้ป่วย โดยต่างเล่าถึงอาการทางกายและใจในระยะเวลาที่ผ่านมา รวมถึงการนำเอาการฝึกสติไปใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งในบางกรณี การฝึกสตินั้น สามารถช่วยรักษาโรคให้หายหรือทุเลาลงได้ แต่บางกรณี แม้ยังไม่สามารถรักษาโรคให้หายได้ แต่จิตใจกลับไม่ทุกข์ตามโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้เขียนได้ไปนั่งเรียนรู้ท่ามกลางผู้ป่วยเหล่านั้น รู้สึกว่าท่านทั้งหลายมีความสุข อาจจะมากกว่าคนที่ไม่เจ็บป่วยหลายคนด้วยซ้ำ

หลังจากที่คุณหมอและผู้เข้าร่วมได้สนทนากันสักพัก ก็เปลี่ยนเป็นการฝึกสติตามอิริยาบถการก้าวย่าง ฝึกการรับรู้ความรู้สึกทางร่างกาย การเท่าทันความคิดและอารมณ์ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการก้าวย่างนั้น รวมถึงการฝึกนั่งสมาธิ การเฝ้าดูการหายใจและปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายอย่างเป็นปัจจุบัน ซึ่งทั้งอาจารย์หมอและคุณพยาบาลจะเน้นเรื่อง “การรับรู้ตามความเป็นจริง” เช่น เมื่อคิด รู้ว่าคิด ได้ยิน รู้ว่าได้ยิน ได้กลิ่น รู้ว่าได้กลิ่น ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่ผ่านเข้ามา เสียง สัมผัสต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะมีลักษณะเหมือนกันคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป “เป็นจริง” ตามที่ปรากฏ ณ ขณะนั้น

โดยปกติความคิดของคนแต่ละคนจะแว้บไปคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้เร็วมาก อารมณ์ความรู้สึกก็เร็วไม่แพ้กัน สติจะระลึกรู้ตามไป บางครั้งเมื่อสติตามรู้ว่าแว้บไปแล้ว เครียดไปแล้ว มักจะเปลี่ยนเป็นไม่อยากเครียด โกรธ อยากหาย อารมณ์ ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปเร็ว การฝึกสติ ก็จะตามรู้ตามเข้าใจไปเช่นนั้น ในที่สุดจะเข้าใจ “ความจริง” ของการเปลี่ยนแปลง

การฝึกการเดินจงกรม หรือการเดินก้าวย่างอย่างมีสติ รวมทั้งการนั่งสมาธิ โดยเน้นการจัดวางร่างกายให้ลงนั่งอย่างเชื่องช้านั้น เป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่ง การชะลออิริยาบถทางร่างกายให้ช้าลง จะทำให้เห็นอิริยาบถทางใจได้ชัด ว่าจิตใจไม่ได้ช้าตามเลย บังคับก็ไม่ได้ และเมื่อใจเผลอไปคิดแว้บหนึ่ง ก็จะลืมอิริยาบถที่กำลังปฏิบัติไปแว้บหนึ่งเช่นกัน ก็รู้ว่าลืม ตั้งต้นใหม่ ให้อภัยตนเอง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ทั้งยังเป็นเรื่องของปัญญา ที่จะเท่าทันกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น วางจิต วางใจ ได้อย่างเป็นกลาง ท่ามกลางความเป็นปัจจุบัน ความจำได้หมายรู้จะบอกทางต่อ ว่านับจังหวะไปถึงไหนแล้ว ความจำได้หมายรู้ในทางบังคับจะบอกหนทางหนึ่ง ความจำได้ในทางเผลอก็บอกอีกทางหนึ่ง เหล่านี้เกิดขึ้นเร็วมาก ตามดูตามรู้แทบไม่ทัน และใจก็หลอกตัวเองว่าไม่หลง ไม่เผลอสักหน่อย นับได้จนครบ แต่แท้ที่จริงหลงกับเผลอไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ผู้เขียนรับรองว่าการฝึกเช่นนี้จะทำให้มีโอกาสให้อภัยตนเองนับครั้งไม่ถ้วน เป็นเมตตาภาวนาได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้เกิดความรักตนเองและผู้อื่น เข้าใจว่าคนเรามีสิทธิ์เดินผิดพลาดได้ เมื่อผิดได้ก็แก้ไขได้ สติเกิดขึ้น กลับมาสู่ปัจจุบัน แล้วสติก็หายไปบ้าง แล้วก็กลับมาใหม่ ความเผลอก็หายไปต่อหน้าต่อตาได้เช่นกัน แล้วก็เดินหน้าต่อไปได้  

ผู้เขียนรู้สึกว่าการฝึกวิปัสสนาร่วมกับแพทย์ พยาบาลและผู้ป่วยที่โรงพยาบาลศิริราชนี้ ทำให้ผู้เขียนสามารถเข้าใจความเป็นจริงประการหนึ่ง ว่าสิ่งทั้งหลายบนโลกไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เพราะไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งชีวิต ร่างกาย และจิตใจให้เที่ยงได้ วิทยาศาสตร์เป็นเพียงความจริงบนพื้นฐานของการสมมติ (สมมติสัจจะ; Relative Truth) เท่าที่จะประดิษฐ์ถ้อยคำหรือสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารระหว่างกัน รวมทั้งเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ของความคิด จินตนาการบนโลกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

แต่กระบวนการสร้างปัญญาสำหรับบุคคลๆ หนึ่งให้เข้าถึงความจริงที่แท้ ในระดับที่สูงขึ้น น่าจะตั้งอยู่บนการเรียนรู้ความเป็นจริงของกายและใจของตัวมนุษย์เอง ซึ่งมนุษย์แต่ละคนมีความเป็นปกติ ธรรมดาธรรมชาติที่ไม่ต่างกัน น่าจะเรียนรู้ร่วมกันได้ และในที่สุด สามารถนำความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ไปช่วยเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากกองทุกข์ได้จริงๆ สมควรเป็นวิชาที่มนุษย์ทุกคนน่าจะได้ฝึกฝนเรียนรู้ และถ่ายทอดออกเป็นภาษาที่แต่ละคนแต่ละกลุ่มสามารถเข้าใจได้ ตามบริบท ตามจริตและวิถีชีวิต แม้นชุดภาษานั้น จะเป็นเพียงสมมติสัจจะก็ตาม แต่ท้ายที่สุดก็ย่อมต้องการการสื่อสาร เพื่อเป็นแนวทางในการเชื่อมโยงความรู้ภายในของแต่ละคน ให้ปรากฏออกมา ง่ายต่อการเข้าใจร่วมกัน และเมื่อนั้น มนุษย์แต่ละคนก็จะสามารถน้อมนำความรู้ของกันและกันไปเรียนรู้และปฏิบัติได้ด้วยตนเองต่อไป ดังที่อาจารย์หมอได้เพียรพยายามพูดคุยซักถามแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกคน ก่อนและหลังการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 

ผู้เขียนเห็นว่าผู้ป่วยที่มาฝึกปฏิบัตินั้น เข้าใจหลักการได้ไม่ยาก และท่านเหล่านั้นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างยิ่ง หลังจากการฝึกเดินและนั่งอย่างมีสติร่วมกัน ผู้เขียนยังเชื่ออีกว่า พลังกลุ่ม พลังความเป็นเพื่อนเป็นกัลยาณมิตรนั้น ส่งผลต่อความก้าวหน้าในการฝึกไม่มากก็น้อย นึกถึงผู้ป่วยท่านอื่นๆ ที่น่าจะมีโอกาสได้รักษาใจยามเจ็บป่วย หรือคนที่ยังไม่ป่วยกายแต่ป่วยใจก็มีมากมาย หวังว่าท่านเหล่านั้นจะยังไม่ท้อแท้ ผู้เขียนเชื่อว่าทุกชีวิตมีคุณค่า ไม่ว่าท่านกำลังประสบพบเจอเหตุการณ์ใดที่ทำให้ทุกข์แสนสาหัส ขอมอบเรื่องราวข้างต้นไว้เป็นกำลังใจ อย่าเพิ่งท้อแท้ วันหนึ่งประสบการณ์ของท่านอาจสามารถช่วยผู้อื่นที่กำลังตกทุกข์ได้ยากได้อย่างดีเยี่ยม  ดังเช่น แพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราชได้ร่วมกันเยียวยาหัวใจของกันและกัน อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดเท่าที่มนุษย์จะพึงกระทำได้ ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้

Source : คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๐

เรื่องเล่าชาวอาศรมฯ

เรื่องเล่าชาวอาศรมฯ

Author : ประชา หุตานุวัตร

ผมก็เป็นคนหนึ่งในอาศรม และเป็นคนที่ถูกกล่าวขานในทางลบสำหรับชาวอาศรมในยุคหนึ่งมาโดยตลอด ผมเป็นจอมมารสำหรับบรรดาผู้แสวงหาความดีงามทั้งหลาย ไม่แน่ใจนะว่าเป็นจอมมารที่ใครผ่านด่านไปได้บ้าง

หลายคนวิจารณ์ผมในมิติของความก้าวร้าว สนใจแต่งานสำนักงานหรืองานที่ไม่ต้องใช้แรงกาย ไม่มีสุนทรียะ แม้บางคนจะพยายามหาข้อเด่นของผมมาพูดบ้างว่าสามารถผลักดันงานได้สำเร็จหลายเรื่องก็ตาม แต่ในความเห็น(ซึ่งเป็นความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ธรรมดามีอารมณ์เป็นหลักเหตุผลเป็นรองและหาเหตุผลมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอารมณ์เท่านั้นเอง ) ของผมซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งคือ ผมเองก็เป็นเครื่องมือในการบริหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน ผมอาจจะเรียกหรือกล่าวได้ว่าผมเป็นมิติด้านลบของพี่ประชา เป็นมิติที่พี่ประชาไม่ต้องการแสดงออกหรือไม่กล้าแสดงออก เพราะมีผมทำให้พี่ประชาเป็นพ่อพระได้มากขึ้น ดังนั้นคุณงามความดีที่ผมควรจะมีเพิ่มอีกอย่างหนึ่งคือ การเป็นอิฐถมทางให้พี่ประชาขึ้นหิ้ง ด้วยเหตุฉะนี้เอง ปฐมบทของผมจึงเป็นเรื่องประชา หุตานุวัตร เอ้า ล้อมวงเข้ามาครับพี่น้อง ถึงเวลาแล้วที่วณิพกจะสาธายายเรื่องของชายผู้นั้นให้ท่านได้รับฟัง

ค่ำคืนหนึ่งในวิหารสุขเทวาลัย บ้านเช่าเล็กๆ ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลจากโชคชัยสี่สักเท่าใด ผมมีโอกาสได้พบกับโอ๋ ที่พึ่งเดินทางมาจากอาศรมวงศ์สนิท ตอนนั้นผมไม่รู้จักหรอกว่าอาศรมวงศ์สนิทคืออะไร เพราะผมจากพระนครไปซะหลายปี เป็นเด็กโต๊ะสนุ๊กอยู่แถวหัวหิน และกลับมาเพราะเสียงเรียกร้องของ สนนท.ที่ออกมาไล่ สุจินดาทุกวัน

คืนนั้นเราได้สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสามิตรสหายที่ไม่ได้เจอะเจอกันมานาน จนกระทั่งได้ทราบว่าอาศรมรับสมัครเจ้าหน้าที่ โอ๋แนะนำว่ามีงานหนึ่งที่น่าจะถูกใจผมคืองานโรงเรียนเยาวชนชาวพุทธ ซึ่งโอ๋บอกว่าเป็นงานจัดตั้งเยาวชนเลยทีเดียว ถ้าใครอยู่ในยุคสมัยเดียวกับผมคงจะรู้ว่างานเยาวชนสมัยนั้นคืองานที่พวกเราใฝ่ฝันที่จะทำกัน เหมือนกับที่พี่อี๊ด วายที หรือที่เอ็มดีเอ็ม ของดวงประทีปทำกันอยู่ เยาวชนคือเมล็ดพันธุ์แห่งการต่อสู้ วาว….. โรงเรียนเยาวชนชาวพุทธ ช่างน่าสนใจจริงๆ ถึงแม้ผมในตอนนั้นอาจจะเป็นชาวเหมา ชาวมาร์กซ มากกว่าชาวพุทธก็ตาม แต่ไม่เป็นไรเอาโรงเรียนชาวพุทธมาบังหน้าก่อนละกัน แล้วค่อยๆ สอดแทรกชาวเหมาชาวมาร์กซเข้าไป เลยตัดสินใจบอกโอ๋ว่าผมสนใจงานนี้ ให้โอ๋ช่วยจัดการให้ด้วย โอ๋เลยนัดหมายว่าถ้าพี่ประชากลับมาเมื่อไรจะติดต่อให้ไปพบ นี่คือครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของพี่ประชา โดยที่ยังไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันกับพระประชา

การเดินทางไปอาศรมวงศ์สนิทเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากผมไม่เคยไปเลย แต่ดันไปตอนเย็นเพราะช่วงนั้นช่วยงาน พีพี21(มหกรรมประชาชนสู่ศตวรรษที่ 21 ) อยู่ เดินทางจากสำนักกลางนักเรียนคริสเตียน ที่ใช้เป็นสำนักงานอยู่ในตอนนั้น มาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่อรถตู้เก่าๆ มาลงคลอง 15 มาถึงก็สามทุ่มกว่าแล้ว ไม่มีรถเข้าไปต้องไปนั่งรอที่ร้านค้าตรงปากซอย รอจนเบียร์หมดไปสองขวดรถก็ยังไม่มา ร้านเขาก็จะปิด น้องชายเจ้าของร้านเลยตัดสินใจไปส่งทั้งๆที่ดูท่าแล้วไม่ค่อยกล้าเท่าไรนักเพราะผมไว้ผมยาว ดูท่าทางไม่ค่อยน่าไว้วางใจ เขาถามว่าจะให้ไปส่งที่ไหนบอกเขาว่าจะไปอาศรม เขาก็ไม่รู้จัก บอกว่าไปร้านพี่ไหว เขาก็ไม่รู้จักอีก พอดีมีรถมาคันหนึ่งเขารู้จักร้านพี่ไหวเลยพาไปส่ง พอไปถึงร้านพี่ไหวปิด ต้องไปตะโกนเรียกจนเขาออกมาก็ถามทางเขาอีกที พี่ไหวใจดีอุตส่าห์ชี้ทางให้ แต่อนิจจา เมื่อไปถึงท่าน้ำอันมืดมิด มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ที่พี่ไหวบอกว่ามีโป๊ะก็ไม่มี ตะโกนเรียกจนเสียงแหบเสียงแห้ง มีเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนตอบมาว่าโป๊ะอยู่ฟังที่ผมอยู่นี่แหละให้ควานๆหาเอา กว่าจะควานหาได้ก็เปียกไปครึ่งตัว กว่าจะกระเสือกกระสนข้ามฝั่งไปได้ ก็แทบถอดใจกับงานเยาวชนเอาเลยทีเดียว

“พี่มี พี่มี ตื่นได้แล้วครับ พี่ประชามาแล้วให้มาตามพี่ไปคุยด้วย” เสียงปลุกแต่เช้าเรียกให้ผมไปพบพี่ประชา ทำให้ผมเป็นเดือดเป็นแค้นหนักหนา ก็เล่นปลุกเอาซะเช้าเลยทั้งที่เรากว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนไปแล้ว เหนื่อยก็แสนจะเหนื่อยกับการเดินทาง ไหนยังจะอากาศดีๆ แบบนี้ที่ไม่ค่อยได้เจออีก มาโดนทำลายบรรยากาศอย่างนี้เสียอารมณ์หมด จำไว้นะทีหลังอย่าปลุกผมตอนเช้า

เจอแล้ว ประชา หุตานุวัตร เจอตัวเป็นๆ เลยหลังจากได้ยินแต่ชื่อมานานกำลังกินข้าวอยู่ ไว้ผมยาวนิดหน่อย มีหนวดหรอมแหรมพอให้น่าหมั่นไส้ ใส่เสื้อสีน้ำตาลลายแบบแขกอินโด มาเลย์อะไรทำนองนั้น กางเกงม่อฮ่อมเนื้อดี ดูท่าทางสมถะ แต่พอก้มต่ำลงอีกนิด รองเท้ารัดส้นหนังแท้แม้จะเก่าสักหน่อย คู่ไม่น่าจะต่ำกว่าพันบาทว่ะ ดูท่าจะให้ความสำคัญกับตีนมากกว่าอย่างอื่น น่าจะไปด้วยกันได้แฮะ

“เฮ้ย ไปตักข้าวมากิน แล้วคุยกัน” เสียงแสดงอำนาจบงการให้ผมไปกินข้าวโดยไม่ถามว่าหิวหรือไม่สักคำ อย่างว่าเรามันมาของานเขาทำ เป็นผู้น้อยก็ต้องค่อยก้มประนมกรไปก่อน จึงเดินไปตักข้าวมากินด้วยดี ไม่รู้กินกันไปได้ยังไง ข้าวแดงกับผักและเนื้อปลอมปรุงเป็นกับข้าว ช่างทรมานจิตใจชาวศิวิไลซ์อย่างเราแท้ๆ กำลังนั่งกินอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ก็เจอคำถามข่มแบบตั้งรับไม่ทันเลย โธ่ ก็เรามันเจอมาแต่ เพื่อนครับ เพื่อนนักศึกษา อะไรทำนองนี้พอมาเจอ “ลื้อชื่ออะไรวะ” พ่อแม่ลื้อเป็นเจ๊กหรือเปล่า” “ลื้ออยากจะทำอะไร” “ลื้อรู้ไหมว่าจะต้องทำอะไรบ้าง” ไปเกือบไม่เป็นเหมือนกันแหละครับ อาศัยว่าเล่นหมากรุกเป็นเลยพอเอาตัวรอดไปได้ แล้วบทจะเลิกถามก็เลิกถามไปดื้อๆ หันไปคุยกับชัยยะแทนซะตั้งนาน เล่นเอาใจแป้วเลยไม่รู้ว่าจะได้ทำงานหรือเปล่า

เอาเป็นว่าสรุปว่าได้งานทำก็แล้วกัน ในตำแหน่งที่สมัครไว้นั้นแหละ แต่ยังไม่ต้องเริ่มงานตอนนี้ให้มาเริ่มงานหลังจากเสร็จงานมหกรรมประชาชนแล้ว และงานแรกที่เริ่มทำคือ ช่วยงานฉลองประจำปีของอาศรม เอาละเข้าเรื่องแล้ว เมื่อพูดถึงงานก็ต้องพูดถึงการบริหารงาน นับแต่นี้ต่อไปวณิพกขอนำท่านรู้จักกับวิธีการบริหารงานของประชา หุตานุวัตร

ซึ่งต่อไปก็จะขอเรียกว่าพี่ประชา ตามธรรมเนียมที่หลายๆคนเรียกและถือว่าเป็นก้าวแรกในการเข้ามาอยู่ภายใต้อาณาจักรของพี่ประชา อย่างแท้จริง

พูดแบบ ส.ศิวรักษ์ ก็ต้องบอกว่า ประชาเป็นคนน่ารัก แต่…… แต่อะไรที่ตามหลังมานั่นคือการตำหนิเล็กๆ แต่ผมคงมิบังอาจไปตำหนิพี่ประชา ขอเพียงแค่ตัดพ้อต่อว่าเล็กน้อยส่งเสียงดังไม่ได้ ตามคุณลักษณะของระบบอำนาจนิยมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในการปกครองอาศรม ก็แล้วกัน

การบริหารงานของพี่ประชาเป็นยังไงใครรู้บ้าง ไม่มีใครรู้หรอก และใครก็มิอาจรู้ได้ เพราะการบริหารงานของพี่ประชานั้นเป็นอนิจจัง คือเป็นการบริหารงานที่มีวิธีการที่ไม่แน่นอน มีหลากหลายวิธีในการใช้ ใครพอทำอะไรได้ก็ช่วยๆกันไปก่อน เอ็ดดี้จึงเป็นคนดูแลบ้านพักด้วย เป็นพนักงานขับรถด้วย ช่วยงานแปลอีกต่างหาก ในขณะที่กำลังจะเตรียมตัวไปอินเดีย แค่คิดก็ปวดหัวแล้วไม่ต้องเห็นภาพหรอก การวางแผนงานต่างๆ ในสมัยนั้น ก็เป็นไปตามโครงการที่เขียนไว้แล้ว และต้องทำให้ได้ตามโครงการนั้น ดังนั้น ไอ้นายบารมี วณิพกของท่าน จึงได้ระเห็จจากผู้ประสานงานโครงการโรงเรียนเยาวชนชาวพุทธเพื่อการรับใช้สังคม มาทำหน้าที่ ดูแลการก่อสร้างในเบื้องต้น “ช่วยพี่ดูก่อสร้างสักปี

นึงก่อนนะแล้วค่อยเริ่มงาน”

พอจากอนิจจังก็มาทุกขัง เป็นความทุกข์ที่แต่ละคนต้องได้รับไปไม่มากก็น้อย อ้อยจากดูแลเด็กเร่ร่อนมาเป็นคนปลูกผัก พี่แขกจากดูแลเด็กเร่ร่อนมาทำเกษตรและขับรถ ชัยยะจากช่วยงานโอ๋ประสานงานเรื่องกิจกรรมมาเป็นเจ้าหน้าที่การเงิน อานันทะ(กมล)เพื่อนชาวศรีลังกาจากวิศวะไฟฟ้ามาเป็นพ่อครัว การบริหารแบบนี้ก่อให้เกิดความทุกข์แด่ทุกผู้ทุกนามในเบื้องต้น แถมยังจะมีเรื่องชุมชนเข้ามาอีก คือไม่มีการชี้แจงให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น ก็เลยมีปัญหาบ้าง เช่น สาวเข้มไม่อยากนอนกางมุ้งต้องการมุ้งลวดมากกว่า หลังคาก็ไม่ชอบมุงแฝกอีก เพราะกลัวจะรั่วก็กลายเป็นทุกข์ขึ้นมาอีก

แน่นอนจากทุกขังแล้วก็ต้องมาอนัตตา อนัตตาไร้ตัวไร้ตน เป็นมนุษย์ล่องหน เพราะพอสั่งงานแล้วพี่ประชาก็หายเข้ากลีบเมฆไป ไปไหนก็ไม่รู้ แต่ต้องรู้ให้ได้ว่าไปไหนเมื่อมีโทรศัพท์ทางไกลจากซอยสันติภาพมาถาม ถ้ามีโทรศัพท์จากที่นั่นเมื่อไรจากอนัตตาเป็นอัตตามีตัวมีตนขึ้นมาได้ทันที พี่เจนเคยนินทาให้ฟังว่าตอนอยู่เมืองวิสกี้ด้วยกันใหม่ๆ โทรศัพท์เป็นระบบที่ไม่ต้องรับสายก็ได้ถ้าไม่อยากรับ “แต่ถ้ามีเสียงอาจารย์โทรมาเมื่อไร ประชาพุ่งออกไปรับโทรศัพท์ราวกับจรวดเลย” เมื่ออนัตตาไร้ตัวไร้ตนเช่นนี้พวกผมก็ปรึกษาใครไม่ได้ มีปัญหาขึ้นมาทีไรก็ทะเลาะกันเอง เพราะไม่มีคนตัดสิน ใครเสียงดังกว่า พูดเก่งกว่าก็ได้เปรียบคนอื่น ใครเสียงเบาพูดช้าก็เสียเปรียบคนอื่น ทั้งหมดที่เล่ามานี่เป็นตัวอย่างบางตอนของการบริหารงานในช่วงแรกที่ผมเข้าไปอยู่เท่านั้น แต่ว่าไปแล้วก็เห็นใจพี่ประชาเหมือนกันเพราะยังไม่มีอำนาจอะไรมากนัก แถมยังเป็นมือใหม่หัดขับอีก มันก็เลยกระท่อนกระแท่นเป็นธรรมดา

แต่เรื่องที่เด่นที่สุดของพี่ประชากลับเป็นเรื่องการปล่อย วาง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน แกสามารถปล่อย วางได้ตลอด แต่ปล่อย วางแล้วจะไปสะสมอยู่ภายในหรือไม่ก็ไม่อาจจะรู้ได้นะ แต่ก็มีบางเรื่องที่แกไม่ปล่อย แต่วางคือแกไม่ปล่อยก้าม แต่ชอบวางก้าม ไม่รู้ไปติดมาจากใครผมเลยพาลติดจากแกมาด้วย

ไม่รู้ใครอุตส่าห์ช่วยคิดจำแนกแยกแยะอาศรมออกเป็นสามยุค นี่ว่าตามหนังสือนะ ยุคบุกเบิกของนักฝัน ยุคนักกิจกรรมเพื่อสังคมและยุคทดลองตนของนักแสวงหา อยากจะแบ่งอย่างนั้นก็แบ่งไป แต่สำหรับผมแบ่งยุคที่ผมทำงานในอาศรมเป็นสามยุคเช่นกัน ยุคแรกเป็นยุคอาณานิคม ยุคที่สองเป็นยุค”ประชา”ธิปไตย และยุคที่สามเป็นยุคเสรีภาพเจ้ากรรม (ถ้าอวยพรเขียนอาจจะเปลี่ยนเป็นยุคมารครองเมืองก็ได้) ที่เล่าๆมานี่ยังอยู่ในยุคอาณานิคมอยู่

ในอาศรมนอกจากจะอยู่กันด้วยภาระการงานแล้วยังมีภาระชุมชนพ่วงเข้ามาด้วยอีก ซึ่งเป็นเรื่องหนักอกของผู้ที่เข้ามาอยู่อาจจะเรียกว่าทุกยุคทุกสมัยก็ว่าได้ อาจจะเป็นเพราะเรามีจินตนาการที่แตกต่างกัน แม้แต่ในตัวคนๆเดียวก็ยังมีจินตนาการที่แตกต่างกันด้วย พี่ประชาเป็นคนได้รู้ได้เห็นมามาก ก็ยิ่งมีจินตนาการมากขึ้นด้วย แกเคยคุยถึงจินตนาการของแกให้พวกเราฟังบ่อยๆ ซึ่งพวกเราเชื่อว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันซะมากกว่า ตัวอย่างเช่น จะแบ่งอาศรมเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม ฝ่ายธรรมะนี่ต้องปฎิบัติ ภาวนา ถือศีลห้าเป็นฐาน ฝ่ายอธรรมนี่ทำอะไรตามใจที่มันไม่ละเมิดศีลธรรมอันงามได้ เช่น กินเหล้าได้แต่เมาแล้วไประรานคนอื่นไม่ได้ พวกเราก็เห็นด้วยตามที่พี่ประชาเสนอเพราะพวกเราเลือกอยู่ฝ่ายอธรรมอยู่แล้ว และยังกระแนะกระแหนแกไปว่าฝ่ายธรรมะคงมีแต่พี่กับพี่พรเท่านั้น แกเลยเลิกล้มความคิดนี้ไปเพราะคงกลัวว่าจะไม่มีใครอยู่กับแก แต่ทุกวันนี้ถึงแม้ไม่ได้แบ่งฝ่ายแต่ก็ยังคงมีคนกินเหล้าแล้วไประรานคนอื่นได้ ผมไม่อยากจะบอกว่าเป็นพี่ล้วนเดี๋ยวแกจะเสียใจ อีกตัวอย่างหนึ่งคือพี่ประชาเสนอให้ทุกคนเงินเดือนเท่ากัน แต่ก็ไม่ลงตัวอีกเพราะเงินเดือนเท่ากันคือเท่าไร ทำไมพี่ประชาต้องเงินเดือนเท่ากับคนอื่นด้วยทั้งที่ประสบการณ์มากกว่า หรือคนโน้นทำงานหนักกว่าคนนี้ คนนี้ใช้แรงงานคนนี้ใช้สมอง หรือให้เงินเดือนตามความจำเป็นของแต่ละคน ก็ไม่รู้ว่าอะไรคือความจำเป็นขั้นพื้นฐานอย่างเช่น ต้องการเงินไปให้แม่สักสองหมื่นทดแทนค่าน้ำนมจะได้ไหม หรือถ้าไม่ได้ดูหนังแล้วใจจะขาด หรือจะพาแฟนไปกินข้าวดีๆสักมื้อ ขอบเขตอยู่แค่ไหนก็ไม่สามารถจำกัดได้เลยเหลวไปอีก แต่ถึงยังงั้นคนภายนอกก็ยังมองว่าคนอาศรมเงินเดือนสูงอยู่ ผมเคยบอกหลวงพี่ไพศาลว่าผมเงินเดือนห้าพันหก ท่านไม่เชื่อ ท่านว่าพวกอาศรมเงินเดือนสูงๆ ทั้งนั้น และยังแนะนำว่าถ้าคิดจะอยู่แบบชุมชนต้องไม่มีเงินเดือน ผมเลยหมดคำอธิบาย จริงๆแล้วผมก็เห็นด้วยกับการที่อยู่อาศรมโดยไม่มีเงินเดือน แต่มันก็ไม่ลงตัวว่าจะจัดการยังไง เข้าใจว่าทุกวันนี้ก็ยังไม่ลงตัวในเรื่องนี้

ปัญหาการอยู่ในชุมชนมีสารพัดปัญหา แก้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จริงๆแล้วอาศรมน่าจะจัดให้มีการสรุปบทเรียนว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง อะไรที่แก้ไม่ได้ ยุคสมัยที่ผมอยู่มีตั้งแต่ใครจะทำครัว จะมีครัวกลางหรือแยกครัว ใครจะดูแลหมา ใครจะดูแลเด็ก เรื่องชุมชนนี่พี่ประชาจะเปิดโอกาสให้พวกเราช่วยกันตัดสินใจ ทุกคนจะได้ช่วยหาทางแก้ไข แต่ชุมชนที่มีอำนาจที่จำกัดเพราะมีคนที่มีสิทธิที่จะวีโต้อยู่ เช่น พี่ประชาและอาจารย์ เป็นต้น หลายเรื่องที่พี่ประชาอธิบายไม่ได้ก็ให้อาจารย์มาอธิบายแทน และพวกเราก็ต้องยอมจำนน การรับคนเข้ามาไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การเอาคนออกเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ค่อยมีใครกล้าตัดสินใจเรื่องนี้มากนัก การทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตร่วมกัน ทำให้พลังแห่งความขัดแย้งสูงขึ้น แต่พี่ประชาก็ไม่ค่อยได้อยู่ในเหตุแห่งความขัดแย้งนั้นๆ และจะกลับมาก็ต่อเมื่อเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นแล้ว พี่ประชาก็จะกลับมาแก้ไขปัญหาทุกคนก็จะฟ้องพี่ประชา ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างนี้ ช่วงนี้เองที่พี่ประชาจะได้แสดงบทบาทเต็มที่ ยิ่งมีคนคอยเถียงแกอย่างผม แก่ โอ๋ ด้วยแล้วยิ่งดีเพราะแกยิ่งขึ้นเสียงได้มากขึ้นแสดงอำนาจได้เต็มที เรียกคะแนนความนับถือจากมวลหมู่สมาชิกได้ตรึมเลย บทบาทอย่างนี้พี่ประชาอยู่ในฐานะของผู้ชนะ แต่ที่พี่ประชาแพ้ราบคาบก็มีอยู่คนหนึ่ง ยอดชายนายเอ็ดดี้ รายนี้พี่ประชาจะด่าจะว่ายังไงมันก็ไม่เถียง ยิ้มรับอย่างเดียว พี่ประชาเคยโมโหมากถึงขนาดจะเข้าไปเตะ แต่เอ็ดดี้กลับกอดพี่ประชาไว้แล้วถามว่าพี่เกลียดผมขนาดนี้เลยหรือ เท่านั้นพี่ประชาก็ไปไม่เป็นแล้ว ถ้ามีคนอย่างเอ็ดดี้เยอะๆ ในอาศรมรับรองได้ว่าพี่ประชาสร้างความยอมรับนับถือขึ้นมาไม่ได้ขนาดนี้หรอก ต้องมีอย่างพวกผมนี่แหละถึงจะเป็นอิฐลองทองได้

เดี๋ยวจะหาว่าต่อว่าอย่างเดียวก็ไม่ดี พี่ประชามีคุณงามความดีที่ต้องกล่าวถึงไว้ในที่นี้ด้วย ประการแรกที่เห็นคือพี่ประชาเป็นคนให้อภัยทุกผู้ทุกคนเสมอ ผมเคยทะเลาะเบาะแว้งกับแกหลายครั้ง โกรธแกตั้งหลายหน แต่ก็เกลียดแกไม่ลง เพราะแกให้อภัยผมมาตลอด ครั้งหนึ่งเคยทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง แล้วแยกย้ายกันไปนอน ก็นอนบ้านเดียวกันนั่นแหละ แต่แกนอนในห้องผมนอนนอกห้อง ไม่ใช่แบ่งชนชั้นอะไรหรอก แกชวนนอนในห้องเหมือนกันแต่ผมไม่ไว้ใจแก โธ่…ก็ผมขาวอวบอะไรอย่างนี้จะให้ไปอยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสองได้ไง เอ๊ย ….มิได้ มิได้ ผมต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างต่างหาก เอ้าเลยนอกเรื่องไปอีก เอาเป็นว่าตอนเช้าตื่นขึ้นมาผมก็ยังนอนต่อไม่ยอมลุกไปนั่งสมาธิ จนสายแปดโมงกว่า พี่ประชาเดินมาเรียกด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลอะไรจะขนาดนั้นว่า “ตื่นเถอะมี สายแล้ว ลุกไปกินข้าวเถอะ” เรียกว่าไม่ทันจบคำผมรีบกระโดดลุกขึ้นมาทันที โห …เจ้านายมาง้อถึงที่นอนเลยหรือนี่ ยังครับยังไม่พอ พอผมลุกขึ้นมาพี่ประชาบอกอีกว่า “เมื่อคืนได้คุยกับเอ็งดีว่ะ พี่นอนไม่หลับเลย เลยตอบจดหมายได้ตั้งหลายฉบับ ค้างไม่ได้ตอบมาตั้งนานแล้ว” น้ำตาแห่งความตื้นตันของลูกผู้ชายชื่อไอ้มีคลอเบ้าเลย พูดไม่ออกบอกไม่ถูกได้แต่รีบลุกไปล้างหน้าและกินข้าวโดยพลัน เช้าวันนั้นพี่ประชาเรียกคะแนนความจงรักภักดีจากผมได้เกินร้อยเลย แต่ธรรมดาครับคนอยุ่ใกล้กันก็ย่อมกระทบกระทั่งกันบ่อย ผมกับแกก็มีเรื่องกันเป็นระยะ และแกก็ให้อภัยผมตลอดมา ประการที่สองพี่ประชาเป็นคนให้โอกาสคนอื่นมาตลอด ถ้าเห็นว่าใครมีแวว หรือใครอาสาจะทำ ก็จะให้ทำ อย่างเช่น ไพริน กว่าจะลงตัวกับงานบ้านดินได้ ต้องอดทนกับความเมาของอ๊อดพอสมควรทีเดียว เอ๊ย ไมใช่ผิดเรื่อง เอาใหม่นะ อย่างเช่นไพรินกว่าจะลงตัวกับงานบ้านดินได้ก็ผ่านงานมาหลายขนานตั้งแต่ช่วยงานคดีพ่อประจักษ์ ช่วยงานโครงการดงใหญ่ ลาออกไปอยู่มูลนิธิครูทิม บุญอิ้งแล้วกลับมาทำห้องสมุด ทำเรื่องนิวเคลียร์ ไม่แน่ใจว่าทำเรื่องอะไรก่อนหลังและทำกี่เรื่องบ้าง แต่ไพรินก็ได้รับโอกาสจนกระทั่งหาช่องทางที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ไม่แน่ใจว่างานนี้ไพรินหรือพี่ประชาใครอดทนมากกว่ากันแต่ที่แน่ๆ คือพี่ประชาให้โอกาสไพรินมาตลอด

จริงๆ แล้วยังไม่พร้อมที่จะกลับมาเขียนเท่าไร แต่วณิพกน้อยได้รับโทรศัพท์ให้กำลังใจจากมิตรรักแฟนเพลง ขอให้เขียนต่ออย่าให้ขาดระยะ แฟนานุแฟนจะได้ติดตามได้ ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทจำกัด(มหาชน) จะปฎิเสธได้อย่างไร เลยจำใจออกมาสาธยายต่อเล็กน้อย คืนวันพรุ่งจะเดินทางไปเชียงใหม่ แอบคาดหวังไว้ว่าบรรยากาศบนตู้เสบียงจะช่วยดึงดูดเอาอารมณ์อันวิจิตรออกมาได้ แฟนนานุแฟนช่วยเป็นกำลังใจให้วณิพกด้วยนะครับ ช่วยบริจาคค่าเบียร์สักคนละขวดสองขวดเถอะ จะนับเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลเป็นอย่างยิ่ง

ประการสุดท้าย ประการสุดท้ายนี่หมายถึงเท่าที่นึกได้นะ ไม่ใช่พี่ประชามีคุณงามความดีแค่นี้ ถ้าบอกมีคุณงามความดีแค่นี้เดี๋ยวแกมาอ่านเข้าแล้วจะน้อยใจ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าคนแก่งอนมันไม่งาม อย่าให้แกงอนซะดีกว่า เอ้าเข้าเรื่องได้แล้วล้อมวงเข้ามา ฟังวณิพกสาธยายถึงชายผู้นี้ต่อไป คุณงามความดีที่ว่าคือพี่ประชาเป็นคนมีเวลาให้กับทุกๆคนโดยไม่จำกัด ไม่รู้ว่าแกจัดสรรเวลาได้อย่างไร เวลาผมมีธุระเข้าไปขอคุยก็คุยได้ทันที เช่นเดียวกับคนอื่นๆ และอย่างที่พูดไปแต่แรกแล้วว่าแกไม่ค่อยอยู่ที่อาศรมดังนั้น เวลาที่แกอยู่ทุกๆ คนจึงใช้แกอย่างมีคุณค่า และอาจจะเป็นด้วยเหตุฉะนี้เองจึงทำให้แกเกิดอาการ “หัวพอง ท้องอืด” อยู่ตลอดเวลา อาการนี้เป็นอย่างที่พี่พรเรียกว่าพี่ประชาบ้างาน และเป็นอาการที่ทางการแพทย์เรียกว่า “โรคความดันโลหิตสูง” แต่ก็จะมีช่วงเช้าๆ บ้างเหมือนกันที่แกไม่มีเวลา เพราะนอกจากนั่งสมาธิแล้ว แกยังมีภารกิจต้องช่วยเหลือพี่พรด้วย ดังที่พี่พรเคยเล่าให้ฟังว่า “พี่เล่นโยคะท่ายืนด้วยหัวไม่ได้ พี่ประชาต้องมาช่วยจับพี่ยืนทุกเช้า ” โห… ช่างเสียสละเพื่อชาติ เพื่อประชาชน จริงๆ นับเป็นผู้ปฎิบัติงานที่เข้มแข็งของพรรคได้เลย สงสัยอ่านชีวทัศน์เยาวชนมาเยอะ

หมายเหตุให้ทราบทั่วกันในที่นี้ว่า เวลาที่พี่พรตำหนิว่าพี่ประชาบ้างานนี่ น้ำเสียงมีแววชื่นชมมากกว่าตำหนินะ อันนี้จะมาจากปฐมเหตุอันใดวณิพกน้อยมิอาจทราบได้ฮ่ะ

กำลังจะจบบทว่าด้วยประชา หุตานุวัตรอยู่แล้วละ ว่าแต่จะจบลงยังไงดีหว่า แฟนานุแฟนทั้งหลายช่วยออกไอเดียหน่อย บทต่อไปก็จะเป็นอาศรมในยุคอาณานิคม แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะตามด้วยเรื่อง สุภาพร พงศ์พฤกษ์ดีหรือว่าเอาเรื่อง เดอะ แกงค์ ออฟ ทรี(บารมี โอ๋ แก่) ก่อน เอาเป็นว่าคิดไปเขียนไปละกันนะ ใครทนไม่ไหวก็ต้องท่อง ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมะงคะละมุตตะมังฯ ไปก่อนละกัน

ความบ้างานของพี่ประชาอาจจะเป็นคุณสมบัติที่ดีอันหนึ่ง สำหรับผู้บริหาร แต่อาจจะไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีนักสำหรับพ่อบ้าน พ่อเมือง พี่ประชาที่เป็นทั้งผู้บริหารและเป็นพ่อบ้านพ่อเมืองด้วยจึงต้องสร้างบุคลิกหลายแบบ ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ สง่างามด้วยพระคุณ และอาจหาญด้วยพระเดช และพระเดชก็ทำให้คนออกมาเป็นใหญ่เป็นโตนอกชายคาอาศรมกันซะมากมายจนทำให้ได้รำลึกถึงพระคุณอยู่ทุกจนวันนี้

สังคมวิกฤตเห็นผิดเป็นชอบ

สังคมวิกฤตเห็นผิดเป็นชอบ

Author : Admin

อันความดีทำไว้ไม่หายสายสูญ

จะเกื้อกูลตามต้องสนองผล

ให้ความสุขสมหมายดังใจคน

เกิดเป็นคนควรทำแต่กรรมดี

เป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองมีแต่เรื่องเดือดร้อน อุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิดก็เกิดบ่อยจนผิดปรกติ เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีข่าวรถไฟชนกันเองบ้าง ตกรางบ้าง ชนกับรถสิบล้อบ้าง ฯลฯ ทั้งๆที่แต่ก่อนนี้อุบัติเหตุทางรถไฟมีน้อยมาก การเดินทางโดยรถไฟถือว่าปลอดภัยที่สุด สาเหตุที่เกิดขึ้นพอสอบสวนกันแล้วก็พบว่า เกิดจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ คนขับเมาบ้าง หลับบ้าง คนนั้นเป็นเหตุคนนี้เป็นเหตุบ้าง ก่อวินาศกรรมบ้าง ความบกพร่องทางวัตถุ ที่คนรับผิดชอบไม่ละเอียดลออเพียงพอบ้าง และประมาทเลินเล่อบ้าง เสร็จแล้วจะหาทางแก้ด้วยการเปลี่ยนรางใหม่ให้ใหญ่ขึ้น หาเรื่องใช้งบประมาณอีกเป็นพันๆล้าน ทั้งๆที่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รางเป็นเอก แต่อยู่ที่คน

นอกจากอุบัติภัยดังกล่าวแล้ว ยังเกิดภัยธรรมชาติ เกิดวาตภัย อุทกภัย กระหน่ำภาคใต้ถึงสองครั้งสองหนติดๆกัน ผู้คนตายนับร้อยพัน บ้านช่องพังพินาศ ต้นไม้ล้มระเนระนาด ที่อาศัยที่ทำกินสูญเสียสภาพ นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าสลด และรุนแรงมาก หรือว่าเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทำนายไว้ ได้มาถึงแล้วถึงยุคที่…

….เดือนดาวฟ้าจะอาเพศ….

บัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน

หาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ

กิดนิมิตพิสดารทุกบ้านเมือง…

คงจะไม่มีใครอยากเจอเรื่องทุกข์ร้อนแบบนี้ แต่ถ้าตราบใดผู้คนไร้ศีลธรรม ผู้มีอำนาจข่มเหงรังแกผู้ทรงศีลทรงธรรม ทั้งที่อยู่ในร่างฆราวาสและบรรพชิต ผู้ที่มีอำนาจใช้อำนาจช่วยคนผิดทำลายคนดี ทำลายป่าเขา ห้วยละหาน ธรรมชาตินานา ทำลายเศรษฐกิจ-รัฐกิจ เพราะรู้เศรษฐศาสตร์-รัฐศาสตร์ เพียงทางวัตถุ หรือรูนามธรรมก็แค่ขั้นต้นหยาบๆไม่ลึกซึ้งพอในทางจิตวิญญาณ ผู้มีอำนาจใช้อำนาจช่วยทำลายอุปนิสัยใจคอ และจิตวิญญาณผู้คน

เบียดเบียนผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองและประชาชน คงจะต้องเจอภัยพิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

ท่านที่ติดตามพุทธทำนายมาจนตลอดจนถึงตอนที่สิบสองแล้วคงจะไม่สงสัยว่า ทำไมบ้านเมืองจึงเดือดร้อน สังคมจึงสับสนวุ่นวาย เราจะสักเกตได้ว่า พระพุทธองค์ตรัสไว้เสมอว่า ถ้ามนุษย์ไร้ศีลธรรม ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจ ถืออำนาจบาตรใหญ่เอาเปรียบและข่มเหงรักแกประชาชน ความเลวร้ายในสังคมก็จะเกิดขึ้น ภัยพิบัติต่างๆนานา ก็จะปรากฏ

พุทธทำนาย นี้ก็เช่นกัน พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สุบินนิมิตว่า

ได้เห็นน้ำเต้าแห้งกลวง ซึ่งปกติลอยน้ำได้ กลับจมดิ่งลงน้ำ

พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบายทำนายไว้ว่า ตามที่โบราณาจารย์ได้แต่งเป็นบทกวีเกี่ยวกับเรื่องราวตอนนี้ไว้ว่า

สิบสองเล่าเห็นน้ำเต้านั้นจมชล

ดูวิกลไม่เคยพบประสบเห็น

พุทธบรรหารว่านานไปจะเกิดเป็น

ข้อที่เข็ญของสัตว์วิบัติมี

ปราชญ์ผู้รู้ธรรมจะต่ำต้อย

พาลาลอยเฟื่องฟูชูศักดิ์ศรี

ผู้พงศาตระกูลประยูรมี

จะลับลี้เสื่อมสูญประยูรยศ

พวกคนพาลจะร่านเริงบันเทิงหน้า

เจรจาผิดธรรมไปจนหมด

ใครปลอกปลิ้นลิ้นลมเป็นคนคด

รู้โป้ปดกลอกกลับจึงนับกัน…..

พระพุทธองค์อธิบาย หรือทำนายความฝันนี้ไว้ว่าในภายหน้า เมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรม โลกจะวิปริตแปรปรวนจะเกิดภัยพิบัติต่างๆนานา

นักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมจะอยู่ยาก จะถูกกีดกันกลั่นแกล้งจากคนพาลที่มีอำนาจมีอิทธิพล คนบางคนอาศัยวิธีการฉ้อฉลต่างๆ เพื่อปีนป่ายขึ้นสู่ฐานะอันสูงศักดิ์ เพื่อมีอำนาจในบ้านในเมือง แต่ด้วยความเป็นพาลอันเป็นวิสัย จึงชอบใช้อำนาจนั้นไปในทางผิดพลาดเบียดเบียนผู้อื่น ทำความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนโดยพยายามทำทุกวิถีทางเท่าที่จะฉลาด เพื่อไม่ให้ประชาชนจับได้ว่า เป็นการฉ้อโกง เป็นการกดขี่ข่มเหง เป็นการแสวงหารายได้และความสุขสำราญ โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมใดๆ กอบโกยผลประโยชน์อันจะพึงเป็นของประชาชน มาเป็นของตัว แล้วเขาก็หลงเข้าใจตนผิดว่าเป็นคนดีคนฉลาด ไม่มีใครรู้เท่าทันและท้วงติงติเตียนเขาได้ (เมื่อมีอำนาจ ย่อมหาคนกล้าไปท้วงติงได้น้อย) เขาจะดูถูกประชาชนว่า โง่เง่า ไม่รู้เท่าทัน เขาจึงใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา และยิ่งร้ายแรงซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ยุคนี้จะเป็นยุคที่คนในภาษาไทยเรียกว่า  ฉลาดเป็นกรด แต่ในภาษาพระเรียกว่า  เฉกตา  หรือ  พาลตา คือคนพาลมีอำนาจวาสนา คนทีขี้ประจบสอพลอจะอยู่ได้ ถือว่าเป็นพวกเดียวกันแต่คนที่จริงใจและยึดมั่นในอุดมการณ์ หากขัดผลประโยชน์ของเขาก็จะอยู่ยาก จะต้องถูกกีดกันกลั่นแกล้งให้ตกต่ำลงไป ความดีคือการมีผลประโยชน์ร่วมกัน (ร่วมกันโกง ร่วมกันกิน) ใครให้ผลประโยชน์ได้ คนนั้นคือคนดี ใครขัดผลประโยชน์เขาหรือให้ผลประโยชน์เขาไม่ได้ คนนั้นคือคนเลว ไม่ควรจะอยู่ร่วมสังคมด้วย คนดีที่รักบ้านรักแผ่นดิน จึงถูกกำจัดตลอดเวลา คนที่ต้องการเอาตัวรอดจึงไม่กล้าขัด และมักจะนิยมนับถือถ้อยคำของคนคดโกง

คำโกหกมดเท็จของคนพาล คำของอลัชชี จะถูกยกย่องนับถือ

ส่วนคำของสัตบุรุษ ผู้มีศีล มีธรรม ประพฤติดีปฎิบัติชอบแท้จริง จะถูกดูถูกเยาะเย้ยถากถาง หาว่าเป็นถ้อยคำที่วิปริตผิดธรรมวินัย

ไม่ต้องอื่นไกลยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ประกาศแนะนำให้ถือศีล 5 ทั้งๆที่มีคำพรรณนาไว้ตอนท้ายว่า ถ้ารักษาศีล 5 ได้จะมีอานิสงส์หลายอย่าง จะมีโภคทรัพย์ก็เพราะศีล จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ก็เพราะศีล แม้ที่สุด จะไปสู่นิพพานอันยิ่งกว่าสุขก็เพราะศีล แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจอยากไป แต่พอเขาได้ยินหรือเห็นภาพโฆษนายั่วยุทั้งของมอมเมาฟุ่มเฟือย มากตัณหาราคะมากความ สิ้นเปลืองโภคทรัพย์ในจอโทรทัศน์ กลับหูผึ่ง น้ำลายไหล หัวใจสั่นบอกไม่ถูก แสดงให้เห็นว่า ค่านิยมของคนทุกวันนี้ต่ำลงมาก

คนที่หวังผลประโยชน์ จึงชอบเอาสิ่งของมอมเมามาล่อ มาหลอกประชาชน ส่วนคนดีที่พยายามกอบกู้ ป้องกัน ไม่ให้ประชาชน ส่วนคนดีที่พยายามกอบกู้ ป้องกัน ไม่ให้ประชาชนถูกหลอกยั่วตัณหาจากสิ่งมอมเมา จึงต้องทำงานหนัก ไหนจะหนักเพราะต้องคอยจูงนำสังคมให้ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องซึ่งเป็นงานที่ยากแสนยาก นอกจากนี้ยังต้องหนักเพราะคอยสู้กับพวกหวังกอบโกยผลประโยชน์ ด้วยการมอมเมาประชาชนอีก จึงเป็นงานที่เสี่ยง และต้องเสียสละอย่างมาก

เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่มุ่งมั่นทำความดี เพื่อให้สังคมพ้นจากภาวะทุกข์เข็ญ จะได้ไม่เป็นดังที่พระพุทธองค์ทำนาย ก็ขอให้อ่านข้อความต่อไปนี้หลายๆเที่ยว ข้อความที่จะช่วยให้เกิดกำลังใจนั้น มีผู้รู้ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้

เรื่องการกลั่นแกล้งกีดกัน จะเป็นภัยเป็นอันตราย เป็นเครื่องบั่นทอนอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีจิตใจอ่อนแอ เห็นอุปสรรคเป็นเรื่องร้ายเป็นเรื่องน่ากลัว เมื่อถูกกลั่นแกล้งกีดกัน เขาจะหมดกำลังใจในการทำดีทำประโยชน์ในที่สุดก็จะเลิกทำความดี เลิกบำเพ็ญประโยชน์

แต่เรื่องกีดกันกลั่นแกล้งนี้เอง จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับบุคคลผู้มีกำลังใจเข้มแข้ง ทนทาน เด็ดเดี่ยว ยิ่งถูกกลั่นแกล้งมากเท่าใด เขายิ่งมุมานะทำความดีทำประโยชน์ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การกลั่นแกล้งกีดกันนั้น ไม่มีผลจะมายับยั้งอุดมการณ์ที่จะทำความดีของเขาได้ ปรกติคนที่มีลักษณะลอยอยู่เสมอนั้น ใครจะกลั่นแกล้งกีดกัน หรือกดให้จมไม่ได้ เมื่อถูกกดที่นี่ก็จะต้องไปโผล่ที่อื่น เหมือนมะพร้าวก็ลอยขึ้นน้ำ หรือเหมือนพระอาทิตย์ ซึ่งลอยเด่นอยู่เสมอ จะต้องมีคนไม่มุมใดก็มุมหนึ่งของโลก มองเห็นพระอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา

ตรงกันข้าม คนที่มีลักษณะจมเหมือนก้อนหิน แม้จะลอยอยู่เหนือน้ำได้ เพราะมีคนคอยเอามือรองรับไว้ แต่พอปล่อยมือมันก็จมต่อไปเหมือนคนบางคนบางพวก มีลักษณะจมอยู่เหมือนนิสัย ลอยอยู่ได้เพราะมีคนอุปถัมภ์ค้ำชู พอขาดผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ก็จมเอาตัวไม่รอด อาศัยร่มเงาจากกลุ่มเมฆ จะยั่งยืนถาวรสักแค่ไหน

หวังว่า ผู้ที่มุ่งหมายประกอบคุณงามความดี เพื่อให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคเป็นบางช่วงบางขณะ จนดูเหมือนถูกกดให้จมลงไปบ้าง ก็อย่าเพิ่งท้อถอย พึงทำดีให้เข้มแข้งอดทนตลอดไป ถ้าเราเป็นของลอยจริง สักวันหนึ่งมันก็ต้องโผล่ขึ้นมาจนได้ แต่ผู้ที่มีลักษณะจม แม้ตอนนี้จะดูเหมือนเขาลอยอยู่ก็อย่าแปลกใจเลย ไม่ช้าเขาก็จะจมเอง เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ขอให้เรามีความพากเพียรบากบั่น และตั้งใจทำความดีไปให้ตลอด ตราบใดที่โลกยังมีคนดี ยังไม่ไร้ซึ่งศีลธรรม น้ำเต้าน้อยก็จะลอยตามปรกติ สังคมก็จะไม่เดือดร้อนตามที่พระพุทธองค์ทรงทำนาย เพราะพระองค์มีข้อแม้ไว้ว่า

ถ้ามนุษย์ไร้ศีลธรรม ภัยพิบัติต่างๆก็จะเกิดขึ้น

ดังนั้น เรามาเร่งสร้างศีลธรรมให้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์กันเถิด เคราะห์กรรม ของเพื่อนมนุษย์จะได้ลดน้อยลง

ชีวิตในโลกสมัยใหม่

ชีวิตในโลกสมัยใหม่

Author : Admin

เคยว่าไว้ว่า เวลานี้โลกมีโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ มากมายนัก หลายโรคนั้นเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้คนได้อย่างรวดเร็วจนไม่อาจตั้งตัว  นั่นนับเป็นหายนะภัยใหม่ขอโรคหรือเปล่า  ในขณะที่วิถีชีวิตของผู้คนห่างออกไปจากความสมดุลมากขึ้นเรื่อยๆ  ห่างออกไป ห่างออกไป  วิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องสัมผัสโลกเพียงผิวเผิน ดูเหมือนชีวิตผู้คนจะไม่มีทางเลือกมากนัก ว่าก็โดยเฉพาะในเมืองใหญ่  นี่เป็นปัญหาหนึ่ง  แม้แต่ผู้คนมากมายที่หันมาสนใจการดูแลรักษาสุขภาพ หรือการกลับมาแสวงหาวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ จนถึงการเยียวยารักษาโรคทางธรรมชาติบำบัด นั่นก็มีมากมายหลายสายให้แสวงหากันไป  นั่นก็เป็นกระแสที่ดีกระมัง อันว่าถึงการกลับมาใส่ใจเรื่องราวของชีวิตมากขึ้น  แต่ก็ยังไม่วายมีปัญหาตามมา เมื่อผู้คนนักแสวงหาทั้งหลายนั้น ส่วนหนึ่งไม่สามารถปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้  นั่นก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาทั้งหลายไม่อยากเปลี่ยนกระมัง  แต่ดูเหมือนภาระมากมายที่วางทอดเป็นแนวอยู่ในวิถีชีวิตของพวกเขาทั้งหลายนั้น มันไม่สามารถทำให้พวกเขามีเวลาได้อย่างแท้จริง   นั่นก็หมายความว่า เมื่อชีวิตมิได้ปรับเปลี่ยน  ภาวะเดิมๆ ก็ยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ดูเหมือนว่า โลกวันนี้มันเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเหลือเกิน  นั่นก็คงเป็นผลพวงของเทคโนโลยีที่พลิกโฉมหน้าของโลกไปอย่างสิ้นเชิง  หลายเรื่องหลายอย่างที่หายไปจากระบบของโลก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งสำคัญ ว่าก็ดังเช่น โทรเลข หรือการเขียนจดหมาย อย่างหลังนี้อาจจะยังมีอยู่ แต่ก็น้อยลงมากเหลือเกิน ดังจะเห็นได้ว่าไปรษณีย์ไทยก็ปรับตัวอย่างมากต่อการบริการเพื่อให้เหมาะสมกับโลกสมัยใหม่  นั่นก็หมายความว่า ชีวิตของเราทั้งหลายดำเนินอยู่บนเส้นทางของข้อมูลข่าวสาร การประดิษฐ์คิดค้น  นวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นไม่เว้นวัน  และเรื่องราวต่างๆ ของโลกก็เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน  มีอยู่บ้างบางคนกระมังที่ไม่ยอม และไม่อยากก้าวตามมันไป  นั่นก็ไม่ได้แปลกอะไรเท่าไหร่นัก กระมัง….หรือเปล่า…

คำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดคำนึงของเราก็คือ  เราจะอยู่บนโลกนี้อย่างไรหรือ  หรือเราก็จะวิ่งตามโลกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าอย่างไรเราก็หนีไม่ได้ เราก็วิ่งตามมันซะ เหนื่อยหน่อย แต่เราก็ไม่ตกยุค  พยายามขยันหมั่นเพียร ตามที่เคยเรียนมาจากคนรุ่นเก่า เก็บเงินเก็บทอง เอาเงินไว้รักษาตัวเองยามเจ็บป่วย  ซึ่งก็มาแน่ๆ สักวัน ไม่มีทางเป็นอื่นได้  ด้านชีวิต ความคิดความอ่านก็ไม่ต้องทำอะไรมาก  เดี๋ยวนี้เราก็สามารถเสพความรู้สำเร็จรูปได้จากจอโทรทัศน์ซึ่งก็มีมากมายหลายช่วงหลายแบบหลายดาวเทียม อะไรก็ว่าไป  ราคาไม่แพงนักด้วย ก็ไม่ต้องขวนขวายอะไรมานัก อยู่ๆ กันไป

มีทางเลือกอื่นหรือไม่เล่า….  นี่อาจเป็นคำถามของคนบางคน…หรือเปล่า  แล้ว หรือ จะเริ่มต้นยังไง  ในการสนทนา เราคุยกันเรื่องการกลับมาเริ่มต้นที่ฐานกาย ฐานกายคือฐานที่สังคมสมัยใหม่ให้ความสำคัญน้อยที่สุด หรือเปล่า  นั่นคือภาพที่เห็นแจ่มชัดที่สุด  ในโรงเรียน ตั้งแต่ช่วงต้นปฐมวัย การเรียนการสอนทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด มั่งไปที่เรื่องของหัว  หรือถ้าจะมีฐานกายอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องของการกีฬา และที่สำคัญคือการแข่งขัน   แล้วฐานกาย มันสำคัญอย่างไร…..

ในคำสอนเต๋า หรือในศาสตร์ของไท่จี๋เฉวียน บอกว่า เมื่อบ่มเพาะร่างกาย ดูแลร่างกาย ก็จะเกิดพลังชีวิต หรือการมีสุขภาพที่ดี ส่งผลถึงอารมณ์ที่เบิกบาน และเมื่ออารมณ์ที่เบิกบาน หรืออารมณ์ที่เป็นบวกทั้งมวลนั้นแล้ว ก็จะส่งผลต่อการเติบโตด้านจิตวิญญาณด้วย…

ในฐานะของผู้ฝึกฝนมวยจีน ไท่จี๋เฉวียน  มีผู้คนถามกันมาว่า มันมีคุณค่าอะไรบ้าง  ด้วยว่าตามความเข้าใจของผู้คนทั่วไปนั้น ไท่จี๋ก็เป็นการออกกำลังกายของคนเฒ่าคนแก่ หรือเปล่า ตามที่เห็นตามสวนสาธารณะ  เมื่อภาพเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้คนก็เพียงผ่านไปผ่านมา  และจนกว่าที่จะมีบางคนที่เริ่มรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพ เมื่ออายุมากขึ้น ว่าก็ สุขภาพเริ่มส่อแววของปัญหา  เขาก็จะเริ่มหันมาสนใจการดูแลตัวเอง  บางคนก็อาจจะเริ่มมองไปที่เรื่องของการออกกำลังกาย  ยามนี้ ภาพคนแก่รำมวยจีนก็จะผุดขึ้นมาในความทรงจำบ้างกระมัง

ต่อปัญหาสองเรื่องข้างต้น คือโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ และความเร็ว และสิ่งต่างๆ มากมายในวิถีของโลกสมัยใหม่  มวยจีนจะตอบสนองต่อปัญหาสองข้อนี้หรือไม่….

ตอบแบบง่ายๆ ก่อนก็คือ หากการบ่มเพาะฐานกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงมั่นคน  มันส่งผลต่อพลังชีวิต และการพัฒนาทางอารมณ์ และที่สุดส่งผลต่อการเติบโตด้านจิตวิญญาณ  ยกระดับสติปัญญาให้สูงขึ้น นั่นก็จะเป็นคำตอบต่อปัญหานั้นได้  ขยายความต่ออีกนิด  สืบเนื่องจากเรื่องราว หรือปัญหาต่างๆ ของโลก ก็คือว่า มนุษย์ต่างก็สร้างชุดความรู้ สร้างชุดคำตอบขึ้นมาโดยการ คิดเอา  เราภาคภูมิใจในความรู้ แต่เรามักไม่รู้ว่า ความรู้นั้น มันไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงโลกภายในของตัวเอง  แล้วเราก็เอาแต่ถ่ายทอด บอกเล่าเรื่องราวนั้นๆ ความรู้นั้นๆ หลายครั้งก็ทำให้เราดูดี ดูเก่ง ดูมีคุณค่ามีความหมาย  แต่คำถามก็คือ ในเรื่องราวนั้นๆ เราเพียงแต่คิดเอา ว่าเราทำได้ หรือความรู้นั้นมันพาเราไปเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาโลกภายในอย่างแท้จริง

อย่างนั้น การแปรเปลี่ยนที่แท้จะเกิดขึ้นจริงได้อย่างไร  คำตอบก็คือ การลงมือทำ  การลงมือปฏิบัติ ชีวิตไม่มีทางลัด เราจะไม่สามารถเข้าไปสู่การแปรเปลี่ยนที่แท้ได้ด้วยการคิดเอา  แต่มันต้องลงมือทำ  คำถามต่อมาก็คือ ทำอะไร ตอบ… พัฒนาฐานกาย เพื่อบ่มเพาะพลังชีวิต ก่อเกิดการพัฒนาทางด้านอารมณ์ นั่นก็คือการบ่มเพาะความรัก บ่มเพาะความมั่นคงภายใน  ที่สุดนั่นก็จะนำไปสู่การเติบโตทางจิตวิญญาณ   ผู้คนมากมายพูดถึงการเติบโตทางจิตวิญญาณ  แต่นั่นมันก็ไม่สามารถเติบโตได้จริงจากเพียงการคิดเอา

อะไรสักอย่างเพื่อเป็นทางแห่งการฝึกฝน  โยคะ มวยจีน วิ่ง หรือเดิน หรือออกกำลังกายอะไรสักอย่าง แต่ไม่ใช่เพื่อการแข่งขันหรือเอาชนะ  อะไรสักอย่างเพื่อฝึกฝนฐานกาย  บ่มเพาะฐานกาย  พร้อมกับการเรียนรู้หลักคิดปรัชญาของสิ่งนั้นไว้ด้วย ฝึกมวยจีน ก็มิใช่เพียงกายฝึกมวยจีน แต่มันคือการเข้าไปศึกษาในหลักความเป็นไปของธรรมชาติ และวิธีคิดของสาสตร์นั้นๆ  นั่นก็คือการเข้าไปเรียนรู้แท้ๆ ศึกษาอย่างลึกซึ้ง และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับหลักปฏิบัตินั้นๆ ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็จะเป็นการเข้าไปสัมผัสเรียนรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น  และสิ่งที่ได้รับก็จะเป็นเพียงเศษซากกากเดนของสติปัญญานั้นๆ

มวยจีน ศาสตร์แห่งพลังชีวิต ขั้นพื้นฐาน 

วิทยายุทธ การออกกำลังกาย สมาธิ บ่มเพาะพลังทางกาย

ชีวิตย่อมมีพลังอยู่แล้ว แต่ภาวะของพลังชีวิต อ่อน หรือแรง   เคลื่อนเปลี่ยนไปตามสภาวะวิถีนั่นหมายถึงผลแห่งการเป็นอยู่ เปลี่ยนผ่าน ผันแปร ขาดพร่อง เต็มเปี่ยม หรือเอ่อล้น พลังชีวิตที่สมดุล ย่อมทำให้ร่างกาย จิตใจและสมองสมดุลร่วมสืบค้นพลังชีวิต  ร่วมกิจกรรมฝึกมวยไท่จี๋เฉวียน (ไท่เก๊กคุ้ง) และศึกษาระบบธาตุ เรียนรู้ปรับเปลี่ยนวิถีการปฏิบัติตน เพื่อสุขภาพอันสมดุล

เรียนต่อเนื่องจำนวน ครั้ง ตั้งแต่ 09.00 – 16.0 

ครั้งที่ 1 วันเสาร์-อาทิตย์ที่     7-8    ส.ค. 53
ครั้งที่ 2 วันเสาร์-อาทิตย์ที่   14-15  ส.ค. 53
ครั้งที่ 3 วันเสาร์-อาทิตย์ที่   21-22  ส.ค. 53
ครั้งที่ 4 วันเสาร์-อาทิตย์ที่   28-29  ส.ค. 53

รับจำนวน 10 ท่าน ค่าลงทะเบียน 4,500 บาท  

(ตลอดการอบรม 4 ครั้ง ไม่รวมค่าอาหาร ค่าอาหารว่าง ค่าที่พัก)

เรียนภาคค่ำ 10 วัน ระหว่าง วันที่ 16-20 และ 23-27 ส.ค. 53

เริ่มเวลา 18.00 ถึง 20.00 .

รับจำนวน 10 ท่าน ค่าลงทะเบียน 2,000 บาท  

(ตลอดการอบรม  ไม่รวมค่าอาหาร ค่าอาหารว่าง ค่าที่พัก) 

วิทยากร อาจารย์อภิชาติ ไสวดี กวีหนุ่ม  นักเดินทางและนักแสวงหาความหมายแห่งชีวิต บวชเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย หลังจากสึกแล้วก็ออกแสวงหาครู ทั้งครูทางจิตวิญญาณ และครูผู้สร้างดุลยภาพแห่งชีวิต จนกระทั่งได้พบ อาจารย์ฌาณเดช พ่วงจีน จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์คอยติดตาม เพื่อเรียนกังฟูและเพลงมวยต่างๆ โดยเฉพาะไท่จี๋ฉวน เพลงมวยที่ผสานจิตและกายเป็นหนึ่ง อีกทั้งองค์ความรู้ในศาสตร์แห่งเต๋า ที่เป็นทั้งปรัชญาและตำรับโบราณ ในการดูแลสุขภาพ ตลอดจนฝึกความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นที่ถือว่า เป็นความสมบูรณ์ของฐานกายที่แท้จริง