กรรมของคนไทย เผชิญยุคแพงทั้งแผ่นดิน ค่าแรงไม่ขึ้น เงินไม่พอ รายจ่ายเพิ่ม

กรรมของคนไทย เผชิญยุคแพงทั้งแผ่นดิน ค่าแรงไม่ขึ้น เงินไม่พอ รายจ่ายเพิ่ม

คนไทยรับกรรมไปเต็มๆ ซ้ำเติมโควิดระบาดส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เมื่อราคาสินค้าหลายชนิดโดยเฉพาะในหมวดของสดทยอยปรับขึ้น ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อเป็ด ไข่ไก่ และอื่นๆ อีกมากมายจ่อขยับขึ้น จนแฮชแท็ก #แพงทั้งแผ่นดิน ติดเทรนด์ยอดนิยมในทวิตเตอร์
สะท้อนความเดือดร้อนของคนไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างสาหัส ในยุคข้าวยากหมากแพง คงต้องหันมาวางแผนใหม่ในการใช้ชีวิต ด้วยการใช้จ่ายอย่างจำเป็น เพื่อให้อยู่รอด ยิ่งค่าแรงขั้นต่ำเท่าเดิม หลายคนงานหดรายได้ลด ถูกลดเงินเดือน และอีกหลายชีวิตตกงานไม่มีรายได้ จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร
แม้ยุคนี้ข้าวไม่ได้หายาก แต่ราคาข้าวเปลือกกลับตกต่ำ ชาวนาได้รับผลกระทบต่อค่าครองชีพ สวนทางกับสินค้าหลายรายการราคาแพงขึ้น ขณะที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้อธิบายภาวการณ์ “ข้าวยากหมากแพง” เป็นการขาดแคลนไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ในช่วงสงคราม เกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงในวงกว้าง หรือเกิดโรคระบาดร้ายแรง จนสิ่งของเครื่องใช้ขาดแคลน หาซื้อยาก หรือหาซื้อได้ก็มีราคาแพงมาก
ในปี 2565 ไทยกำลังเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงอีกครั้ง แม้หาซื้อได้แต่แพงทั้งแผ่นดิน จริงหรือ? “ดร.นณริฏ พิศลยบุตร” นักวิชาการอาวุโส ด้านนโยบายเศรษฐกิจส่วนรวมและเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ยอมรับ สินค้าหลายชนิดขยับแพงขึ้น ก็น่าจะใช่ที่ไทยเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง เป็นสถานการณ์ทางโครงสร้างประเทศตามหลักเศรษฐศาสตร์ จากราคาสินค้าแพงขึ้น แต่รายได้ไม่ได้ขึ้นตาม นั่นหมายถึงคนระดับรากหญ้าทั่วไป ได้รับผลกระทบและเดือดร้อน ส่วนคนในตลาดหุ้นและคนรวย ยังอยู่รอดอยู่สบาย
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
เมื่อรายได้ของคนรากหญ้าหรือคนระดับล่าง ไม่ได้ปรับขึ้นมา ทำให้เดือดร้อน เกิดความเสี่ยงมากขึ้นเพราะปกติเป็นหนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสินค้าแพงเพราะรายได้เพิ่มขึ้น จะไม่เกิดปัญหาและเป็นวิกฤติเหมือนในขณะนี้ อย่างในต่างประเทศเมื่อคนรายได้มากขึ้นเพราะเศรษฐกิจดี ก็จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จนสินค้าหมดและแพงขึ้น ซึ่งไม่น่ากังวลใจ และวิธีแก้ต้องปรับดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้คนออมเงินมากขึ้น เป็นเครื่องมือในการจัดการ
ขณะที่เศรษฐกิจของไทยยังไม่ฟื้นตัว ตั้งแต่ปี 2562 จนมาปี 2564 จีดีพีโตเพียง 1% และในปี 2565 คาดจีดีพีจะโต 3-4% เมื่อคิดรวมแล้ว ยังไม่เท่ากับระดับปี 2562 แต่อย่างน้อยในไตรมาส 1 ปี 2566 ก็น่าจะดีขึ้น และสินค้าต่างมาจากต่างประเทศ มีการนำเข้าและผ่านกระบวนการต่างๆ ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามมา และยิ่งไทยมาเจอโรคระบาดในสุกร ยิ่งทำให้ไทยไม่พ้นจากเหว มีความสุ่มเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว
“เป็นโจทย์ที่ภาครัฐ ต้องแก้ปัญหาแบ่งเป็น 2 เฟส ภายใน 2 ไตรมาส หลังเจอภาวะเงินเฟ้อของแพงทั้งหมู ไก่ ไข่ ขึ้นราคา ทั้งๆ ที่คนยังเป็นหนี้ เริ่มจากไปตรวจสอบว่าคนไหน ควรเข้าไปช่วยเหลือก่อน เมื่อรู้แล้วว่าเป็นใคร ควรช่วยด้วยวิธีใด เริ่มจากกลุ่มเปราะบาง คนไม่มีรายได้ ไม่มีเงินเก็บ คนหาเช้ากินค่ำ ต้องช่วยมากกว่าปกติ โดยเติมสวัสดิการให้มากขึ้น และทำให้สถานการณ์โควิดโอมิครอน จบให้เร็วที่สุด น่าจะคลี่คลายปัญหาได้พอสมควร”
การแก้ปัญหาในเฟสแรก ไม่ควรใช้เวลานาน จากนั้นในเฟสหลังต้องทำให้คนออกจากกับดักหนี้ ด้วยการสร้างรายได้ให้กับประชาชน และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ได้มาตรฐานทั่วประเทศ ซึ่งภาครัฐควรหากิจกรรมที่จะทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ ยินดีจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ และต้องการแรงงานทักษะอย่างไร เพื่อรัฐจะแก้ปัญหาในการขึ้นค่าแรง หรืออาจฝึกอบรมแรงงานรุ่นใหม่ ให้มีทักษะ รวมถึงสร้างแรงงานคืนถิ่น เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต หากขยายตัวได้ 3% ก็สามารถขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ใกล้เคียงสอดคล้องกับจีดีพี
แม้ปริบทของสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงในอดีต มีความแตกต่างกับปัจจุบัน ซึ่งสินค้ามีราคาแพงเพราะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน จากความต้องการซื้อสินค้าและความต้องการขาย รวมถึงการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้ค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตแพงขึ้น จนราคาสินค้าต้องปรับราคา
หรือเมื่อใดก็ตามหากสินค้าตัวใดขึ้นราคา ผู้บริโภคจะหันไปใช้สินค้าอย่างอื่น ทำให้ราคาแพงขึ้นตามมา อย่างคนมากินไก่แทนหมู ทำให้ราคาไก่แพงขึ้นตามความต้องการของตลาด และจากสถานการณ์สินค้าขึ้นราคา นอกจากภาครัฐจะเข้ามาช่วยเหลือแล้ว คนไทยต้องช่วยตัวเองในการวางแผนในอนาคต เช่น หากปลูกข้าว จะต้องบริหารเรื่องน้ำให้เป็น เพื่อวางแผนการปลูก
“หัวใจสำคัญอีกอย่าง ไม่ให้เป็นกรรมจากการกระทำของเราเอง ต้องรู้จักออมเงิน ไม่ให้เป็นหนี้ชนักติดหลังของคนไทย เพราะนิสัยไม่คิดให้มากๆ ไม่รู้จักเพียงพอ เมื่อมีรายได้มากก็ใช้มากขึ้น ไม่คิดเก็บออมเผื่อเกิดวิกฤติ ให้สามารถมีเงินใช้ได้อย่างน้อย 3-6 เดือน และการที่รัฐเอาเงินมาช่วยเรื่องหมู ก็จะเป็นภาระของประชาชนในอนาคต จึงไม่สามารถเอาเงินมาแทรกแซงได้ทั้งหมด ต้องช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น”.

ถอดบทเรียน โควิด สอนอะไร

ถอดบทเรียน โควิด... สอนอะไร

Author : ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มว่ามนุษย์โลกจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับเชื้อโรคที่มีความสามารถในการพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนไปอีกระยะหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอีกกี่เดือนหรือกี่ปีก็ตาม เราลองมาสงบจิตใจและประเมินว่า สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากโควิด-19 นั้นมีอะไรบ้าง

โควิด-19 : ทำไมเราจึง ด้านชา ต่อตัวเลขคนตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด

โควิด-19 : ทำไมเราจึง "ด้านชา" ต่อตัวเลขคนตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด

Author : BBC Thai

“หากฉันมองไปที่คนหมู่มาก ฉันจะไม่มีวันทำอะไรเลย หากฉันมองไปที่คนคนเดียว ฉันจะลงมือทำ”

คำพูดของแม่ชีเทเรซาข้างต้นสะท้อนการตอบสนองของมนุษย์เราได้ดีเวลาเห็นคนอื่นกำลังตกทุกข์ได้ยาก

คนส่วนใหญ่เห็นการตายของคนหนึ่งคนเป็นโศกนาฏกรรม แต่บ่อยครั้ง พอตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มันกลับกลายเป็นแค่เลขสถิติ อย่างที่เราเคยเห็นมาแล้วเวลาเกิดเหตุภัยพิบัติ ภาวะอดอยาก และล่าสุด วิกฤตโควิด-19

การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกกว่า 5 แสนราย และมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 11 ล้านคนแล้ว เมื่อเดือน มิ.ย. มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ กว่า 100,000 ราย นับว่ามีชาวอเมริกันเสียชีวิตมากกว่าตอนสงครามเวียดนามถึง 2 เท่าด้วยกัน

การเสียชีวิตแต่ละกรณีเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของแต่ละครอบครัว แต่ยากที่เราจะมีความรู้สึกร่วมได้หากเราถอยออกมามองจำนวนผู้เสียชีวิตโดยรวมเป็นภาพใหญ่

An African child standing among adults and looking into the camera
Getty Images
“ความด้านชาทางจิตใจ” หรือ “psychic numbing” คือยิ่งคนเสียชีวิตมากขึ้น เราก็จะยิ่งให้ความสนใจน้อยลง

 

ผู้เชี่ยวชาญเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ความด้านชาทางจิตใจ” หรือ “psychic numbing” คือยิ่งคนเสียชีวิตมากขึ้น เราก็จะยิ่งให้ความสนใจน้อยลง

ตอนนี้ มีหลักฐานให้เห็นแล้วว่าคนเริ่มเบื่อหน่ายที่จะเสพข่าวเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

พอล สโลวิค นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยออริกอนในสหรัฐฯ ผู้ศึกษาเรื่อง “ความด้านชาทางจิตใจ” มาหลายทศวรรษ บอกว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวดเร็วและมาจากสัญชาตญาณมนุษย์มีความวิเศษในหลายด้าน แต่ก็มีจุดบกพร่อง

“จุดบกพร่องหนึ่งคือ มันไม่สามารถจัดการกับตัวเลขจำนวนมาก ๆ ได้ดีนัก”

Man looking at pictures of some of the victims of the 1994 Rwandan genocide
Getty Images
ในปี 1994 ภายในช่วงเวลาแค่ 100 วัน กลุ่มหัวรุนแรงเชื้อสายฮูตูได้สังหารผู้คนไปราว 8 แสนคน มุ่งเป้าไปที่ชาวทุตซี ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในรวันดา

 

“หากเราพูดถึงชีวิต ชีวิตหนึ่งชีวิตสำคัญมากและมีค่า เราจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตนั้น แต่เมื่อตัวเลขสูงขึ้น ความรู้สึกเราไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่า ๆ กัน”

งานวิจัยของสโลวิคชี้ว่า เมื่อตัวเลขการสูญเสียจากโศกนาฏกรรมสูงขึ้น มนุษย์เราจะมีการตอบสนองทางอารมณ์น้อยลง

เฉยชาต่อการระบาดใหญ่

นี่เป็นผลทำให้เรามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวน้อยลง ในการเรียกร้องให้หยุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ให้ส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติ หรือให้ผ่านกฎหมายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

หรือในกรณีของโควิด-19 คนก็อาจจะเลิกใส่ใจเรื่องการรักษาความสะอาด ล้างมือและใส่หน้ากากอนามัยกันน้อยลง

Three people hug at a cemetery
Getty Images
งานวิจัยของสโลวิคชี้ว่า เมื่อตัวเลขการสูญเสียจากโศกนาฏกรรมสูงขึ้น มนุษย์เราจะมีการตอบสนองทางอารมณ์น้อยลง

 

“หากมองเรื่องนี้จากมุมมองด้านวิวัฒนาการ คนเรามุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่คุกคามจะฆ่าเราตรงหน้า” เมลิซา ฟินูเคน กล่าว เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมและสังคมมนุษย์จากองค์กรวิจัยแรนด์คอร์ปอเรชัน และเธอก็ศึกษาด้านการตัดสินใจและการประเมินความเสี่ยงด้วย

เธอบอกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นนักวิเคราะห์ด้านสถิติหรือนักระบาดวิทยาไม่มี “เครื่องมือ” ที่จะตัดสินเรื่องที่ใหญ่และซับซ้อนอย่างการระบาดใหญ่ได้

ในงานวิจัยจากปี 2014 สโลวิค และเพื่อนร่วมวิจัย ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองมองดูภาพเด็กยากจนหนึ่งคน เทียบกับภาพเด็กยากจนสองคน

แทนที่จะรู้สึกสงสารเพิ่มเป็นสองเท่า ผู้เข้าร่วมการทดลองกลับบริจาคเงินให้น้อยกว่าเมื่อเห็นภาพเด็กยากจนสองคน

สโลวิคบอกว่า นี่เป็นเพราะมนุษย์รู้สึกเห็นอกเห็นใจคนคนเดียวได้ง่ายที่สุด

“คุณสามารถคิดว่าคนคนนั้นเป็นใคร คิดว่าเขาเป็นเหมือนลูก พอเพิ่มมาเป็นสองคน ความสนใจและความรู้สึกคุณกลับเริ่มลดน้อยลง… ความรู้สึกเป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรมของคนเรา”

การทดลองของสโลวิคยังค้นพบอีกด้วยว่าความรู้สึกดีที่ได้บริจาคเงินให้เด็กยากจนคนหนึ่ง ถูกบั่นทอนลงเมื่อเราบอกกับผู้เข้าร่วมการทดลองว่ายังมีเด็กคนอื่น ๆ ที่พวกเขาไม่สามารถช่วยได้

หลังจากให้ผู้เข้าร่วมการทดลองดูรูปเด็กยากจนหนึ่งคน นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งดูข้อมูลสถิติด้วยว่ามีเด็กคนอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกันที่กำลังหิวโหยอีกมากแค่ไหน

อย่างไรก็ดี คนกลุ่มนี้กลับให้เงินบริจาคน้อยลงแม้ว่าจะเห็นปัญหาเป็นภาพใหญ่กว่า

เหตุผลหนึ่งคือมนุษย์มีความเห็นแก่ตัว

“เราบริจาคเพราะเราอยากจะช่วย และก็เพราะเราอยากจะรู้สึกดีกับตัวเองด้วย” สโลวิคกล่าว

“มันรู้สึกไม่ดีเท่าเมื่อคุณตระหนักว่าคนที่ให้การช่วยเหลือเป็นแค่หนึ่งในล้าน คุณรู้สึกไม่ดีที่ไม่สามารถช่วยทุกคนได้ และก็รู้สึกแย่”

ในการทดลองอีกชิ้นหนึ่ง สโลวิคและเพื่อนนักวิจัยให้กลุ่มอาสาสมัครจินตนาการว่าพวกเขาเป็นผู้ดูแลค่ายผู้ลี้ภัย และให้ตัดสินใจว่าจะช่วยให้ผู้ลี้ภัย 4,500 คนเข้าถึงน้ำสะอาดได้หรือไม่

นักวิจัยบอกผู้เข้าร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งว่าค่ายผู้ลี้ภัยมีคนทั้งหมด 250,000 คน และบอกอีกครึ่งหนึ่งว่ามีผู้ลี้ภัยอยู่ 11,000 คน

“[ผลคือ]คนอยากจะช่วยเหลือคน 4,500 คนจากค่ายที่มีคน 11,000 คน มากกว่าในค่ายที่มีคนทั้งหมด 250,000 คน เพราะว่าพวกเขาตอบสนองกับสัดส่วนมากกว่าตัวเลขจริง ๆ”

ทำอย่างไรให้ไม่รู้สึกเฉยชา

A protest against the death of George Floyd in the US
Getty Images
การเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ที่ทำให้เกิดกระแสประท้วงไปทั่วโลก

 

ตัวเลขกลม ๆ อย่างเช่น 100 1,000 หรือ 100,000 มักจะทำให้คนทั่วไปฉุกคิดขึ้นได้

เช่นเดียวกับที่นักข่าวพยายามบอกเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ๆ ผ่านตัวละครเพียงคนเดียว และหนังสือพิมพ์มักเลือกเล่าข้อมูลที่ดูเหมือนไม่สำคัญของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นอายุ อาชีพ หรือว่าคน ๆ นั้นมีลูกหรือไม่ เพื่อให้เรื่องราวเหล่านั้น “มีความเป็นมนุษย์” มากขึ้น

เราจะเห็นว่าโศกนาฏกรรมของคนหนึ่งคนทรงพลังแค่ไหนจากกรณีการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ที่ทำให้เกิดกระแสประท้วงไปทั่วโลก

ในทางเดียวกัน ในปี 2015 ภาพของอลัน เคอร์ดี เด็กผู้ลี้ภัยชาวซีเรียวัย 3 ขวบ ที่จมน้ำตายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขณะครอบครัวเขาพยายามอพยพหนีสงครามในซีเรียไปยังยุโรป ก็ทำให้เกิดกระแสไปทั่วโลก

แต่สงครามซีเรีย เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2011 และถึงปี 2015 มีคนเสียชีวิตไปแล้วถึง 250,000 ราย

Drawing of Aylan Kurdi painted on a wall in Germany
Getty Images
สภากาชาดสวีเดน (Swedish Red Cross) ได้รับเงินบริจาคเพิ่มขึ้น 100 เท่าหลัง เคอร์ดี เด็กผู้ลี้ภัยชาวซีเรียวัย 3 ขวบ เสียชีวิต

 

สโลวิคบอกว่านั่นเป็นแค่ตัวเลขสถิติสำหรับคนส่วนใหญ่จนกระทั่งคนทั่วโลกได้เห็นรูปของอลัน เคอร์ดี

สโลวิคบอกว่า สภากาชาดสวีเดน (Swedish Red Cross) ได้รับเงินบริจาคเพิ่มขึ้น 100 เท่าหลังจากรูปดังกล่าวถูกเผยแพร่ และเมื่อผ่านไป 6 สัปดาห์ ยอดบริจาคจึงได้ลดลงมาอยู่ในระดับปกติ

นี่ทำให้เกิดคำถามว่า เราจะสามารถคงความสนใจต่อโศกนาฏกรรมต่าง ๆ ได้อย่างไร หากไม่มีรูปหรือเรื่องราวที่ทำให้คนสะเทือนใจเหมือนการตายของจอร์จ ฟลอยด์ หรือเด็กผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย

เรายอมรับได้หรือหากยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเราเฉยชา และกลายเป็นเลิกระมัดระวังตัวเอง

การสื่อสาร

ฟินูเคน จากองค์กรวิจัยแรนด์คอร์ปอเรชัน บอกว่ารัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขต้องฉลาดเรื่องการสื่อสาร เพราะการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อว่าเพิ่มจาก 2 ล้าน เป็น 2.1 ล้าน คงไม่สามารถกระตุ้นให้คนเลี่ยงพื้นที่แออัดหรือใส่หน้ากากได้

เธอบอกว่าทางการควรสื่อสารถึงคนในระดับรายบุคคลมากกว่าเดิม และพยายามกระตุ้นอารมณ์คน นอกจากนี้การเลือกเวลาสื่อสารอย่างเหมาะสมก็สำคัญเช่นกัน

ด้านสโลวิค ยกคำพูดดังของอาเบล เฮอร์ซเบิร์ก ชาวยิวผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่พูดว่า “ไม่ใช่มีคนยิว 6 ล้านคนถูกฆ่า [แต่]มีเหตุการณ์การฆาตกรรมเกิดขึ้น 6 ล้านครั้ง”

“คุณต้องใช้วิธีครุ่นคิดช้า ๆ เพื่อให้เห็นบุคคลต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ตัวเลขสถิติ” สโลวิคกล่าว และบอกว่าแม้ว่านั่นอาจทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ควรปิดตาไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ

จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ

Author : วิกรม กรมดิษฐ์

หลังเห็นข่าวคราวบนหน้าหนังสือพิมพ์และตามรายการเล่าข่าวที่โพล่มา 3 เวลาก่อนอาหารแล้ว อดให้นึกถึงบทความของคุณวิกรม กรมดิษฐ์ ที่เคยเขียนเกี่ยวกับจุดอ่อนของคนไทยไว้เมื่อปลายปี 2553 เสียไม่ได้ เพราะหลังจากได้เห็นเหตุการณ์ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แล้วอดคิดไม่ได้ว่า ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีประเทศก็แทบไม่ก้าวไปไหนเลย หรือถ้าใครจะเถียงคุณก็ลองหาคำตอบให้ 10 จุดอ่อนของคนไทย ต่อไปนี้ดูแล้วกันครับ

(1) คนไทยไม่รู้จักพอ
สังคมไทยสมัยใหม่เป็นสังคมประเภท “มือใครยาว สาวได้ก็สาวเอา” และไอ้อาการมือยาวที่ว่านี่ ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในระดับประเทศเท่านั้น แต่ยังกระจายไปถึงระดับฐานรากของสังคมอย่างครอบครัวด้วยเช่นกัน ที่ต่างก็แข่งขันกันเพื่อความสุขสบายของตัวเอง โดยไม่สนว่าคนรอบข้างจะเป็นอย่างไร เอาแค่ตัวเองรอดก่อนเป็นพอ

(2) การศึกษาอยู่ในกะลา
เรามีคนเก่งๆ ที่ไปแข่งขันระดับโลกทุกปี แต่เทียบกันแล้ว นั่นเป็นเพียงชัยชนะของเศษเสี้ยวที่ทิ้งห่างระดับมาตรฐานอย่างชัดเจน และยังไม่มีนโยบายใดๆ ที่แก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม ที่สำคัญคือคนไทยส่วนใหญ่ยังเก่งแค่ในพื้นที่ของตัวเอง แต่พอหลุดไปด้านนอกเมื่อไหร่ก็ขาดความมั่นใจไปซะดื้อๆ และที่แย่ยิ่งกว่าคือเรายังไม่กล้ายอมรับความจริงในเรื่องนี้

(3) มองอนาคตระยะสั้น
คนไทยส่วนมากทำงานแบบไร้เป้าหมาย วางอนาคตแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน และมีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

(4) ไม่จริงจังต่อหน้าที่
คนไทยไม่ชอบอยู่ฉากหลัง ทุกคนล้วนอยากเสนอ แม้จะมีความสามารถที่ไม่ถึงก็ตามที จึงทำให้งานส่วนใหญ่กลายเป็นผักชีโรยหน้าหรือทำไปด้วยความเกรงใจผู้อำนาจ แต่ในใจไม่ได้อยากทำเลยสักนิด ซึ่งต่างกับหลายๆ ชาติที่เขาจะให้ความสำคัญกับหน้าที่ จรรยาบรรณอาชีพ และข้อตกลงมากกว่า

(5) การกระจายความเจริญ
ถ้าไม่ใช่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ การลงทุนแทบเดินทางไปไม่ถึง จึงไม่แปลกที่คนส่วนมากพยายามหนีเข้ามาในเมืองใหญ่เพื่อมองหาโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และเปลี่ยนให้เมืองกลายเป็นชุมชนแออัดไปซะดื้อๆ ในขณะเดียวกันก็ทำให้สังคมชนบทค่อยๆ หายไป

(6) กฎหมายไม่เข้มแข็ง
อาจไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่นามสกุลและตัวเงินสามารถปิดหูปิดตา และสร้างทางลัดได้ แต่ยังไงซะเราก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าสังคมไทยกำลังประสบปัญหาเช่นนี้อยู่

(7) ขี้อิจฉา
สังคมไทยไม่เคยพอใจสิ่งที่ตัวเองมี คิดแต่ว่าเขามีได้ เราก็ต้องมีได้ แต่ดันไม่เคยตั้งคำถามว่า “จะมีไปทำไม” หรือ “ทำไปทำไม”

(8) ค้านลูกเดียว
คำว่า “ติเพื่อก่อ” เป็นสิ่งที่นำมาใช้ได้จริงยากมากในสังคมไทย เพราะส่วนมากชอบให้คนอื่นชื่นชม แต่มักไม่ชอบชมใครก่อน ส่วนมากมันจึงตั้งคำถามเชิงลบมากกว่าการทำความเข้าใจกับประโยชน์ที่ได้ แถมยังเป็นการค้านแบบหัวชนฝา และไม่ฟังเหตุผลของอีกฝ่าย

(9) ยังไม่พร้อมในเวทีโลก
เราใช้คำว่า AEC กันจนเกร่อ แต่ไม่เคยเข้าใจว่ามันคืออะไร หรือต่อให้พร้อม เราก็คงไปไม่ได้ง่ายๆ เพราะเรายังขาดทักษะในการทำงานเป็นทีม เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ชอบเป็นหาง แถมพอให้เป็นหัวก็ยังไม่อยากเป็นเหมือนกัน ประมาณว่าอยากเสนอหน้าแต่ไม่กล้านำ

(10) คนรุ่นใหม่ไร้คุณภาพ
เด็กไทยขาดภูมิคุ้มกันด้านความอดทน เพราะถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน ไม่เคยรู้จักความลำบาก และมักถูกสปอยในเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าท่า ต่างกับเด็กในอีกหลายๆ ชาติที่เขาเลิกงอมืองอ TEEN และดิ้นรนด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย แถมเด็กๆ ในบ้านเขายังถูกสอนให้รับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าของเราซะอีก

อาจจะขัดใจใครหลายๆ คนนะครับ แต่ถ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาของคนไทยก็ลองหาคำตอบมาหักล้าง หรือถ้าหาไม่ได้ ก็ลองแก้ไข 10 จุดอ่อนเหล่านี้ ให้หายไปจากตัวคุณซะ เพราะปัญหาของคนไทยคงไม่มีใครแก้ได้ดีไปกว่าคนไทยอีกแล้ว

Source : http://articles.spokedark.tv/2013/06/09/10-weakness/#.UeI4PNLfAb0

ผิดหรือที่จะไม่นับถือศาสนา? เมื่อความเชื่อและความไม่เชื่อต้องอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน

ผิดหรือที่จะไม่นับถือศาสนา? เมื่อความเชื่อและความไม่เชื่อต้องอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน

ในสังคมไทย เรื่องการไม่นับถือศาสนาถือเป็นประเด็นใหญ่และเป็นปรากฏการณ์สำคัญหนึ่งของสังคมวันทุกวันนี้ เด็กรุ่นใหม่หลายต่อหลายคนมีปัญหากับครอบครัวด้วยเหตุผลดังกล่าวจำนวนมาก 

ครั้งหนึ่งมีน้องที่รู้จักกับผู้เขียนมาปรึกษาว่าทะเลาะกับพ่อแม่ เพราะอยากจะออกจากศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่ เขาบอกว่าไม่อยากไปร่วมกิจกรรมหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพราะรู้สึกว่าไม่ได้อะไรจากสิ่งเหล่านั้น และซ้ำร้ายเขามองว่ากฎเกณฑ์ทางศาสนากลายเป็นข้อจำกัดในการใช้ชีวิตของเขาอีกด้วย ถือเป็นเสียงสะท้อนของปัญหาหนึ่งจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

ทีนี้หากมาดูภาพรวมปรากฏการณ์ของผู้ไม่นับถือศาสนาทั่วโลก จากผลสำรวจองค์กรพิว (The Pew Forum on Religion & Public Life) พบว่าจำนวนคนที่ไม่นับถือศาสนา (Irreligious Persons) ทั่วโลก เพิ่มมากขึ้นสูงถึง 1,100 ล้านคน มากเป็นอันดับสาม รองจากผู้นับถือศาสนาคริสต์และอิสลาม 

โดยประเทศที่มีผู้ไม่นับถือศาสนามากที่สุดคือประเทศจีน 700 ล้านคน รองลงมาคือประเทศญี่ปุ่น 72 ล้านคน และสหรัฐอเมริกากว่า 51 ล้านคน ส่วนในสังคมไทย นักวิชาการด้านศาสนวิทยากล่าวว่า แม้ยังไม่มีสถิติที่แน่ชัด แต่คาดการณ์ว่ามีผู้ไม่นับถือศาสนาเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 20 โดยระบุถึงสาเหตุหลักๆ ว่าคนจำนวนมากมองว่าศาสนาไม่จำเป็นต่อชีวิต ทำให้งมงาย รวมถึงเกิดจากความผิดหวังกับบุคคลทางศาสนา

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจจากปรากฏการณ์ดังกล่าว คืองานวิจัยโดย พิปปา นอร์ริส และ รอนอลด์ อิงเกิลฮาร์ท เปิดเผยว่า สังคมที่มีระบบสาธารณสุขดี มีระบบกระจายอาหารดี มีที่อยู่อาศัยเพียงพอ มีความยากจนต่ำ และมีความเท่าเทียมกันสูง คนในสังคมนั้นยิ่งมีแนวโน้มที่จะไม่นับถือศาสนาเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม สังคมที่ชีวิตคนไม่แน่นอน ความกินอยู่แร้นแค้น และมีความเสี่ยงจะเสียชีวิตสูง คนจะยิ่งเคร่งครัดศาสนา

จริงๆ ในกรณีนี้ก็ถือว่าไม่แปลกมาก เพราะหากดูตามหลักการพื้นฐานการเกิดขึ้นของศาสนา เหตุผลสำคัญของการกำเนิดเกิดขึ้นคือ เพื่อมาตอบสนองสภาวะความไม่มั่นคงของชีวิตของมนุษย์ เช่นเดียวกับการกำเนิดของศาสนาแรกๆ ของโลก อย่างศาสนาบูชาผีหรือบูชาธรรมชาติ (Animism) เมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำท่วม คนในยุคนั้นไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นได้ และปรากฏการณ์เหล่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในการใช้ชีวิตของคน มนุษย์จึงสร้างศาสนาขึ้นมาเพื่อบูชาอ้อนวอนใช้เป็นเครื่องมือสร้างทางจิตใจ 

อย่างไรก็ตาม แม้โลกจะวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ หรือมีวิทยาศาสตร์มาช่วยผู้คนค้นหาความจริงกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้แล้ว แต่สภาวะความไม่มั่นคงในชีวิตของมนุษยก็ไม่ได้หายไปไหน แต่กลับเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบอื่นๆ เช่น การแข่งขันในการทำธุรกิจ การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม หรือแม้แต่การต่อสู้กับสภาวะบางสิ่งบางอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบสนองได้ กรณีที่เห็นได้ชัดที่สุดหากจะยกตัวอย่างคือ กรณีผู้ป่วยโรงมะเร็งระยะสุดท้ายที่วิทยาศาสตร์หมดหนทางที่จะให้คำตอบสำหรับชีวิตมนุษย์แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสภาวะความไม่มั่นคงในรูปแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ยุคปัจจุบัน

กลับมาสู่คำถามที่เป็นปัญหาโจทย์หลักของบทความนี้คือ ผิดหรือไม่ที่จะไม่นับถือศาสนา ผู้เขียนคิดว่าคำถามนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะตอบได้ว่าผิดหรือไม่ เพราะเรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคล ซึ่งถือเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล คนไม่เชื่อเขาก็บอกว่าไม่ผิดที่จะไม่มีศาสนา ส่วนคนที่เชื่อก็มองว่าเป็นเรื่องผิดเพราะทำลายขนบ แต่สิ่งสำคัญคือเราไม่ควรเอาความเชื่อ (ทั้งที่เชื่อว่าผิดหรือเชื่อว่าไม่ผิด) ของเราเองไปยัดเยียดหรือกดทับความเชื่อของคนอื่น อันนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นประเด็นที่เราทุกคนควรจะตระหนัก

ทีนี้คำถามคือแล้วอะไรที่เป็นปัญหา แล้วอะไรที่ควรจะเป็นจุดกึ่งกลางทางออกของปัญหา ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าสนใจมากกว่า 

ปัญหาหนึ่งในเรื่องการนับถือศาสนาในสังคมไทยคือ เราไม่เคยมองว่าการนับถือศาสนาเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตย หนำซ้ำยังมองข้ามไปว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคนละเรื่องกัน ศาสนาคือเรื่องของศาสนา ประชาธิปไตยหรือเรื่องสิทธิเสรีภาพคือเรื่องทางโลก สองสิ่งนี้ไม่ควรเกี่ยวข้องหรือนำมายุ่งเกี่ยวกัน นี่คือมายาคติที่เป็นปัญหา ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือเรื่องเดียวกันและไม่สามารถแยกขาดจากกันได้

ที่น่าสนใจมายาคตินี้ต้องบอกว่าไม่ได้มีเฉพาะในกลุ่มแนวคิดอนุรักษนิยมเท่านั้น แต่ยังปรากฏอยู่เป็นจำนวนมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือกลุ่มคนที่เรียกร้องประชาธิปไตยด้วย 

คนรุ่นเก่าหรือคนที่เชื่อในศาสนาก็มักจะโจมตีว่าคนรุ่นใหม่คือพวกล้างขนบจารีต ทำลายวัฒนธรรมอันดีงาม ส่วนคนรุ่นใหม่หรือผู้ที่ยึดหลักวิทยาศาสตร์เป็นแกนในการดำเนินชีวิต ก็มักมองว่าคนพวกนั้นงมงาย ไร้สาระ ไม่เป็นสมัยใหม่ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น

ดังนั้นแกนกลางทางออกของปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่ว่าคุณจะนับถือศาสนาหรือไม่ หรือถกเถียงกันว่าอะไรดีกว่ากัน แกนกลางทางออกหลักที่ผู้เขียนอยากเสนอ ประการแรกเลยคือ เราต้องทำลายมายาคติที่มองว่าศาสนาคือคนละเรื่องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพตามหลักการประชาธิปไตยออกก่อน

ประการที่สองคือ เราทุกคนต้องสร้างชุดการรับรู้และความเข้าใจใหม่ว่าการนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาเป็น ‘สิทธิเสรีภาพ’ ขั้นพื้นฐานประการหนึ่งภายใต้หลักการประชาธิปไตย คุณมีสิทธิและเสรีภาพที่จะนับถือศาสนา และคุณก็มีสิทธิและเสรีภาพที่จะไม่นับถือศาสนา คนที่เลือกที่จะนับถือก็ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่งมงายไร้สาระ เพราะสิ่งเหล่านั้นก็อาจจะมีคุณค่าบางอย่างในชีวิตและตัวตนของเขา พูดให้ถึงที่สุด แม้หลายคนที่ไม่นับถือศาสนาจะมองว่ามันงมงาย ไร้สาระ ไม่เป็นเหตุเป็นผล เขาก็มีสิทธิที่จะเชื่อหรืองมงาย เรามีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราไม่มีสิทธิไปเหยียดเขา ดังนั้นคำตอบจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรดีกว่ากัน แต่คำตอบมันควรจะอยู่ที่ว่าคนๆ นั้นถือสิทธิส่วนบุคคล ส่วนใครจะมองว่าความเชื่อเหล่านั้นค้ำยันโครงสร้างอำนาจแบบอุปถัมภ์ที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน อันนั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งไว้ต้องคุยกันต่อ

ดังนั้นกล่าวโดยสรุปหากจะถามว่า “ผิดหรือไม่ผิด” ถ้าจะ ‘นับถือ’ หรือ ‘ไม่นับถือ’ ศาสนา คำตอบที่ได้คือ “ตอบไม่ได้” เพราะส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าการตั้งคำถามลักษณะนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรมากนัก ส่วนตัวกลับมองว่าสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าคือคำถามที่ว่า “อะไรคือจุดกึ่งกลาง” “อะไรคือแกนกลาง” ที่ความเชื่อและความไม่เชื่อนี้จะอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งผู้เขียนก็ได้เสนอไปเบื้องต้นแล้ว คือ ต้องทำลายมายาคติที่เข้าใจว่าศาสนากับสิทธิเสรีภาพเป็นคนละเรื่องไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันออกไปให้หมด และสร้างชุดความเข้าใจใหม่ว่า ความเชื่อหรือความไม่เชื่อเป็นสิทธิเสรีภาพที่สำคัญประการหนึ่งภายใต้หลักการของประชาธิปไตย

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

“ถ้าคุณรักสถาบันจริง อย่ามองว่าคนที่เห็นต่างจากคุณนั้นเลวร้าย” – สุลักษณ์ ศิวรักษ์

“ถ้าคุณรักสถาบันจริง อย่ามองว่าคนที่เห็นต่างจากคุณนั้นเลวร้าย” – สุลักษณ์ ศิวรักษ์

ในช่วงเวลานับเดือนจากการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของกลุ่มเยาวชนปลดแอกและสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ที่มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ (ยุบสภา-หยุดคุกคามประชาชน-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่) เกิดการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาและนักเรียนอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์การเมืองร้อนขึ้นเรื่อยๆ

10 ส.ค. 2563 การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมได้เสนอ 10 ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ตามมาด้วยความคิดเห็นหลากทิศทางจากสังคม ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนว่าเป็นการแสดงความเห็นอย่างสุจริตในขอบเขตของกฎหมาย และฝ่ายที่เห็นว่าเป็นการสร้างความแตกแยกอย่างรุนแรง

ความกังวลด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคม คือ ปฏิกิริยาจากฝ่ายผู้มีอำนาจที่จะทำลายพื้นที่การแสดงความคิดเห็นและพูดคุยกันด้วยเหตุผล จนถึงการโต้กลับด้วยการดำเนินคดี การดำเนินการนอกกฎหมาย และโอกาสที่จะมีการโต้กลับด้วยความรุนแรงจากภาครัฐและมวลชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะในการชุมนุมครั้งต่อๆ ไปของนักศึกษา

101 สนทนากับ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักวิชาการอาวุโส เจ้าของฉายา ‘ปัญญาชนสยาม’ ผู้ประกาศตัวและได้รับการยอมรับว่าเป็นฝ่ายกษัตริย์นิยม (royalist) คนสำคัญว่า เขามองข้อเรียกร้องเหล่านี้อย่างไร มีสิ่งใดที่ผู้มีอำนาจต้องระมัดระวัง และสังคมจะสร้างพื้นที่การพูดคุยด้วยเหตุผลอย่างไร

สุลักษณ์ยืนยันว่าเขาเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยใจ และเป็นความเคารพที่มีสติวิจารณญาณ โดยไม่ปฏิเสธการวิพากษ์วิจารณ์ หากผู้หลักผู้ใหญ่มีการรับฟังข้อเสนอของกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อปรับปรุงแก้ไขก็จะเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อาจารย์มองการชุมนุมของนักศึกษาช่วงนี้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่มีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์

ผมดีใจที่คนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้อง และคนรุ่นใหม่ในที่นี้ไม่ใช่เฉพาะนิสิตนักศึกษา แต่ยังรวมถึงนักเรียนด้วย ผมปลื้มปิติด้วยเหตุว่าสถาบันการศึกษากระแสหลัก ไม่ว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยต่างสอนให้คนรุ่นใหม่สยบยอม สอนให้ไต่เต้าเอาดีเพื่อออกไปหางานทำ ไม่เคยสอนให้ปฏิเสธเผด็จการ ไม่สอนให้เป็นตัวของตัวเอง แม้กระนั้นก็มีคนรุ่นใหม่ออกมาได้ถึงเพียงนี้ ผมดีใจมากว่าบ้านเมืองเรามีความหวังแล้ว การที่คนรุ่นใหม่สามารถแหวกกระแสหลักออกมาได้อย่างกล้าหาญ และพูดจามีเหตุผล ทำให้ผมภูมิใจมาก เป็นอันว่าผมคงนอนตายตาหลับแล้ว ตอนนี้ผมก็ใกล้ 88 ปีแล้ว คงอยู่อีกไม่นาน ก็ดีใจว่าผมคงไม่หมดหวังกับบ้านเมืองนี้เสียทีเดียว

อาจารย์มองข้อเรียกร้อง 10 ข้ออย่างไร

ข้อเรียกร้อง 10 ข้อของเขาฟังดูก็สมเหตุสมผล เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์จะอยู่ได้ต้องเปิดเผยโปร่งใส พระมหากษัตริย์ต้องมีพระราชจริยวัตรเพื่อความสุขสวัสดีของราษฎร ไม่ใช่ราษฎรทำอะไรต่างๆ เพื่อพระมหากษัตริย์อย่างเดียว ผมเชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านรับฟังข้อความที่เอ่ยถึงท่านและสถาบันของท่าน ท่านมีใจกว้างพอสมควร แต่ที่น่ากลัวคือพวกที่ทำตัวเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา ไปอ้างอะไรต่างๆ ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมเสีย เขาอ้างว่าจงรักภักดี แต่เป็นการจงรักภักดีแบบเอาดีให้ตัวเอง เอาความชั่วให้คนอื่น พวกนี้อันตรายมาก

ที่เขาเรียกร้องนั้นสมเหตุผล ไม่มีอะไรเกินเลยไป เรียกร้องด้วยความจงรักภักดี ไม่มีความรุนแรงหรือเป็นไปในทางทำลายล้าง ผมก็คิดว่าเด็กรุ่นใหม่นี้ไว้ใจได้ เชื่อใจได้

บางฝ่ายมองว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นการก้าวล่วงสถาบัน

มันมีพวกขวาจัด ไปแตะอะไรเข้าหน่อยก็หาว่าจาบจ้วง พวกนี้อันตรายมาก ผมเองโดนกล่าวหาว่าหมิ่นพระนเรศวรมหาราช ทั้งที่กฎหมายบอกไว้ว่า ห้ามหมิ่นพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน พระราชินี และรัชทายาท โดยเฉพาะมาตรา 112 พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ท่านให้เลิกหมดเลย แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ฟังพระราชกระแส เพราะถ้าฟังก็ควรแก้กฎหมายเลย ทำมาตรา 112 ให้เหมาะควรหรือเลิกไป แต่รัฐบาลก็ไม่ทำแล้วอ้างกฎหมายอื่นมาหาเรื่องจับคน

รัฐบาลควรจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร รัฐบาลไม่ควรมีหน้าที่บีบบังคับราษฎร ราษฎรเห็นต่างจากรัฐบาลก็รังแกทุกอย่างเลย แม้จะอ้างตัวเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่หัวใจยังเป็นเผด็จการอยู่

ข้อเรียกร้องของนักศึกษาเป็นคุณต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างไร

ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ฟังข้อเรียกร้องของเขาและปรับปรุงแก้ไข มันก็เป็นของดี แต่ถ้าไม่ฟังข้อเรียกร้องเหล่านี้แล้วตะแบงยืนยันต่อต้านเขา มันก็ไม่ใช่ของดี เรื่องนี้รัชกาลที่ 6 ท่านถามน้องชาย คือ ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ที่ทรงศึกษาที่รัสเซียและพระเจ้าซาร์เลี้ยงเหมือนพระราชโอรสบุญธรรมว่าทำไมราชวงศ์รัสเซียถึงพังพินาศไป แล้วคอมมิวนิสต์เข้ามาแทนที่ ทูลกระหม่อมบังคมทูลพี่ชายท่านว่า พระเจ้าซาร์เป็นคนน่ารัก เรียบร้อย แต่ท่านไม่ฟังคนที่คัดค้านท่านเลย ท่านฟังเฉพาะคนที่อุดหนุนท่านอย่างเดียว เพราะฉะนั้นสถาบันหลักต้องฟังคนที่คัดค้าน

พระพุทธเจ้าสอนว่ากัลยาณมิตรสำคัญที่สุดสำหรับทุกคน กัลยาณมิตรคือผู้ที่จะพูดในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง เมื่อเราฟังที่เขาพูดแล้ว ถ้าเขาพูดเกินเลยไปก็สงสารเขา ยกประโยชน์ให้เขา ถ้าเขาพูดมีเหตุผลก็ต้องปรับปรุงแก้ไข นี่คือหัวใจ การปรับปรุงแก้ไขเกิดได้เมื่อเราฟังคำเตือน แม้คำเตือนนั้นมาจากความหวังดีหรือไม่หวังดีเราก็ต้องฟัง หากปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้จะเป็นของดี

นักศึกษาเหล่านี้กำลังถูกภาครัฐทำให้เป็น ‘ภัยต่อความมั่นคง’ การทำเช่นนี้อาจทำให้สถานการณ์นำไปสู่อะไรได้บ้าง

ผมไม่สามารถพูดแทนทุกคนได้ แต่ต้องเข้าใจว่าคนที่ออกมาเรียกร้องส่วนใหญ่เขามีความปรารถนาดี ควรจะรับฟังเขา อย่างน้อยต้องไม่รังแกหรือไม่ไปโจมตีเขา แต่มีคนที่ตั้งตัวเป็นคนที่จงรักภักดี ซึ่งผมคิดว่าเป็นพวกขวาตกขอบ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ท่านบอกว่าเป็นพวกที่ตั้งตนเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา พวกนี้อันตรายมาก ผมก็เตือนพวกนี้ด้วยความหวังดี ถ้าคุณรักสถาบันจริง อย่ามองว่าคนที่เห็นต่างจากคุณนั้นเลวร้าย เปิดโอกาสให้คนที่เห็นต่างจากคุณ ไม่เห็นด้วยกับเขาก็ไม่เป็นไร ในสังคมมีคนตั้งกี่ล้าน จะเห็นตรงกันหมดไม่ได้หรอก เห็นต่างกันก็ไม่เป็นไร ต้องเคารพเสียงที่คิดต่างจากเรา

เราต้องฝึก เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่สอนให้คนคิดเหมือนกันหมด สอนให้เคารพธงชาติเช้าเย็น “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” มันมีที่ไหน ผมนี่ชาติเชื้อเจ๊ก ปักษ์ใต้เป็นมลายูก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเหมือนกัน เพลงชาติเช้าเย็นนี่ให้โทษที่เรามองไม่เห็น เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยนี่ก็อันตราย เพราะคนข้างล่างเขาไม่ใช่คนไทยแต่ก็อยู่ประเทศเดียวกันได้ รักกันได้ จงรักภักดีด้วยกันได้ ต่างศาสนาก็ไม่เป็นไร แต่เราทำให้คนต้องคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกัน ผมว่าไม่ได้เรื่องเลย

ท่าทีของนักศึกษาส่งผลแค่ไหนต่อการรับฟังข้อเรียกร้อง

ผมคงตอบแทนเขาไม่ได้ แนะนำได้ว่าต้องมีความใจกว้าง ฟังคนที่คิดไม่เหมือนกับเรา อย่าไปดูถูกว่าเป็นเด็กเป็นเล็ก ผมอายุแปดสิบกว่าแล้ว ที่ผมอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะผมฟังเด็กเล็ก ฟังคนที่คัดค้านผม บางครั้งผมก็ยอมรับว่าผมผิดแล้วเดินตามเขา สังคมต้องเป็นอย่างนั้น ผมอยากจะเตือนผู้ใหญ่ทั้งหลายว่าอย่าไปดูถูกคนอื่น อย่าไปโทษคนที่เห็นไม่เหมือนกับเรา ใจกว้างเข้าไว้เป็นของดีที่สุด

หลายฝ่ายกังวลเรื่องการใช้ไม้แข็งกับนักศึกษา

การใช้ไม้แข็งจะทำลายคนมีอำนาจเอง ที่อินเดีย มหาตมะ คานธี ให้คนต่อสู้โดยสันติวิธี ครั้งเดียวที่อังกฤษใช้ความรุนแรง นั่นเป็นเหตุใหญ่ที่ทำให้อังกฤษพังเลย อังกฤษอยู่ต่อมาโดยไม่ใช้ความรุนแรง แล้วคานธีก็ปลุกระดมคนให้ต่อสู้โดยสันติวิธีและเอาชนะอังกฤษได้ ทั้งที่เวลานั้นอังกฤษเป็นจักรวรรดิซึ่งพระอาทิตย์ไม่เคยตกดินเลย อินเดียเป็นประเทศยากจน มหาตมะ คานธี ท่านนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียวสู้กับจักรวรรดิอังกฤษที่ยิ่งใหญ่มากจนสำเร็จ เพราะท่านสามารถชักชวนคนอินเดียว่าแม้จะยากไร้ขนาดไหนแต่ทุกคนมีความสำคัญและเท่าเทียมกันหมด ที่สำคัญคือสื่อกระแสหลักเห็นด้วยกับ มหาตมะ คานธี ซึ่งสำคัญมาก

สำหรับพวกที่ต่อต้านรัฐบาลในเวลานี้ก็มีสื่อนอกประเทศที่สนใจเรื่องนี้มาก รัฐบาลจะปิดตัวเองไม่ได้ อย่านึกว่าสื่อต่างประเทศไม่สำคัญ สื่อกระแสหลักที่เน้นไปทางบริโภคนิยม-ทุนนิยมอาจไม่สนใจ โฆษณาสินค้ามาจากนายห้างรวยๆ ทั้งนั้น และนายห้างรวยๆ เหล่านั้นก็สยบยอมกับเผด็จการทั้งนั้น แต่มีสื่อกระแสรองทั้งในและนอกประเทศที่พูดสัจจะวาจาขยายไปทั่วโลก ชัยชนะอยู่ที่สัจจะ ชัยชนะไม่ได้อยู่ที่อสัจ ชัยชนะอยู่ที่ประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ที่เผด็จการ

มีโอกาสที่ชนชั้นนำจะใช้ความรุนแรงไหม อะไรจะเป็นสิ่งป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงได้

ผมตอบแทนชนชั้นบนไม่ได้ แต่หวังว่าชนชั้นบนจะไม่โง่เขลาเบาปัญญาขนาดนั้น บทเรียนจาก 6 ตุลาฯ ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าใช้ความรุนแรงแล้วไปกันใหญ่ นองเลือดเลย ตอน 14 ตุลาฯ เผด็จการสามคนที่คุมอำนาจหนีไปก็เลยไม่นองเลือด แต่ 6 ตุลาฯ ดึงดันอยู่ก็เลยพัง

อาจารย์เกิดปี 2475 รัฐประหารทุกครั้งอยู่ในช่วงชีวิตของอาจารย์หมด ถ้าประเมินตอนนี้มีโอกาสเกิดรัฐประหารไหม

มันเกิดอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ 2490 เป็นต้นมา ทหารเข้ามาเป็นรัฐ พอเริ่มเชื่อมั่นในตัวเองก็ให้มีการเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญ พอทหารเห็นว่าไม่ได้เรื่อง ก็ล้มรัฐธรรมนูญอีกแล้ว ทำมาตลอดตั้งแต่ 2490 จนเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ประยุทธ์ก็รู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นในการมีรัฐธรรมนูญที่เขียนเข้าข้างตัวเอง วุฒิสภาก็พวกตัวเองทั้งนั้น พรรคอนาคตใหม่เพียง 80 คนมีท่าทางหัวก้าวหน้าหน่อยก็รังแกเขา ยุบพรรคเขาเลย ใช้วิธีนี้เป็นวิธีที่โง่เขลา ถ้ารู้จักใช้วิธีที่อะลุ่มอล่วยได้ จะเป็นประโยชน์กับตัวเองเองด้วย เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองด้วย

 

ยังไงการรัฐประหารก็มีโอกาสเกิดขึ้นอีก

ธรรมดาครับ แต่หวังว่าการประท้วงเหล่านี้จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ไม่ว่ารัฐบาลจะฟังหรือไม่ฟัง ถึงจะใช้ความรุนแรงแล้วสถานการณ์ดีขึ้น แต่มันดีขึ้นอย่างเจ็บปวดมาก ถ้ารัฐบาลฉลาดมันจะดีขึ้นอย่างเจ็บปวดน้อย

เริ่มมีการพูดถึงการเดินซ้ำรอย 6 ตุลาฯ ที่มีการระดมมวลชนฝ่ายขวา อะไรจะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

อันนี้ผมไม่ทราบ เพราะเมื่อ 6 ตุลาฯ ตัวเลวร้ายออกมาชัด อย่าง สมัคร สุนทรเวช เป็นทั้งนักการเมือง ทั้งคุมสื่อมวลชน อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ก็คุมสื่อมวลชนแล้วอ้างตัวเป็นราชวงศ์ หรือ อุทิศ นาคสวัสดิ์ นักดนตรีไทยที่คนเชื่อถือว่าเป็นอาจารย์เกษตรฯ คนพวกนี้เอาความน่าเชื่อถือของตัวเองมาสร้างความเลวร้าย บอกว่าธรรมศาสตร์เต็มไปด้วยญวน ป๋วยเป็นคอมมิวนิสต์ คนก็เชื่อไปได้พักเดียว เพราะสัจจะมันต้องปรากฏ ช่วงนี้ผมก็ยังดีใจ ยังไม่มีคนแบบที่กล่าวมา

อาจารย์คิดว่าผู้ใหญ่จำเป็นต้องเตือนหรือช่วยกันดึงแขนเด็กไม่ให้ไปไกลเกินเพื่อความปลอดภัยของเขาไหม

อย่าไปวิตก พยายามให้กำลังใจเขา และเตือนเขาด้วยความหวังดี ถ้าเขาไม่ฟังอย่าไปนึกว่าเขาดื้อ เด็กเขาก็ต้องแสดงความเป็นตัวของเขาเองบ้าง เขาอาจดื้อรั้นไปบ้างก็ให้โอกาสเขา เตือนเขาว่าพยายามอย่าให้หมิ่นเหม่โดยเฉพาะเรื่องสถาบัน ให้ใช้ภาษาด้วยความเคารพ ช่วยเตือนกันทุกฝ่าย

สำหรับอาจารย์ ในสภาพการณ์ปัจจุบัน สถาบันพระมหากษัตริย์ควรมีตำแหน่งแห่งที่แบบไหนในสังคมไทย

สถาบันเป็นนามธรรม ต้องพูดเป็นรูปธรรม พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ท่านฟังและทำหลายเรื่อง ผิดกับพระราชบิดาที่ท่านไม่ได้มาแสดงเอง แต่ท่านให้คนอื่นทำแทนนะครับ อย่างจิตอาสาท่านก็อุดหนุนให้ทำ มีอะไรเดือดร้อนท่านก็ช่วยเหลือเกื้อกูล แม้ท่านจะอยู่ต่างประเทศ เดี๋ยวนี้สะดวก อีเมลถึงท่านทุกวัน หนังสือถึงท่านทุกวัน ท่านทำงานตลอดไม่หยุดยั้ง มองท่านในแง่บวกด้วย บางคนมองท่านในแง่ลบอย่างเดียว

แต่แน่นอนว่าท่านเป็นมนุษย์ ท่านก็มีข้อบกพร่องเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ดีไปตลอดหมด เพราะฉะนั้นเราต้องมองท่านในฐานะมนุษย์ พูดกับท่านในฐานะที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านก็มีข้ออ่อนข้อแข็ง ข้อดีข้อด้อย แต่พูดอย่างเป็นมิตร พูดด้วยความเคารพนับถือก็เป็นประโยชน์กับท่าน เป็นประโยชน์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองทั้งหมด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อเรียกร้องของนักศึกษามีส่วนมาจากข้อเสนอของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์เคยดีเบตกับ อ.สมศักดิ์ ในรายการตอบโจทย์ เวลาผ่านไปนับจากดีเบตครั้งนั้นมาถึงตอนนี้ อาจารย์มองเหมือนหรือต่างจากเดิมไหม

เรื่องมันก็หลายปีมาแล้ว วันนั้นที่เขาพูดกับผม ข้อเสนอของเขาเป็นข้อเสนอที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดเลย แต่เสร็จแล้วไทยพีบีเอสยกเลิกรายการนี้เลย แล้วรายการอย่างนี้ก็ไม่มีอีก แสดงว่าผู้นำสื่อแม้กระทั่งสื่อสาธารณะก็ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมเลย ถ้าสื่อมีความกล้าหาญมากกว่านี้จะช่วยบ้านเมืองได้เยอะ แต่ก็ดีที่มีสื่อนอกกระแสหลัก แล้วคนก็หันมาหาสื่อนอกกระแสมากขึ้น ซึ่งน่าชื่นชม

ในสภาพสังคมแบบนี้ ทำอย่างไรจะเกิดพื้นที่ตรงกลางให้ฝ่ายอนุรักษนิยมและนักศึกษามาพูดคุยกันได้ด้วยเหตุผล

ไม่ว่าจะขวาตกขอบหรือซ้ายตกขอบ ถ้ามีโอกาสคุยกับฝ่ายตรงกันข้าม เคารพฝ่ายตรงกันข้าม มันจะช่วยทุกๆ คนเลย อย่าไปนึกว่าเราถูกคนเดียว คนอื่นเขาอาจจะถูกก็ได้ ต้องเคารพคนที่เราเห็นต่าง วันก่อนผมไปเยี่ยม เหวง โตจิราการ – วีระ มุสิกพงศ์ ที่ศาลอาญา แล้วผมก็เคยไปเยี่ยม พิภพ ธงไชย – จำลอง ศรีเมือง ตอนเขาติดคุก ผมเยี่ยมทั้งฝ่ายเสื้อเหลืองเสื้อแดง ไม่ใช่ว่าผมดีวิเศษอะไรหรอก แต่ผมเห็นว่าทุกคนเป็นเพื่อน ไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกับผม ผมเคารพความเห็นต่างและเชื่อว่าคนเหล่านี้มีความปรารถนาดีด้วยกันทั้งนั้น จำลองเขาก็ปรารถนาดี เหวงก็ปรารถนาดี แม้เขาจะเห็นตรงกันข้ามก็ตามที

มองสถานการณ์ตอนนี้ อะไรคือสิ่งที่อาจารย์เป็นกังวลมากที่สุด

อย่าไปกังวลอะไรให้มาก ความกังวลไม่ทำให้เราคิดอะไรได้โปร่งใส พยายามคิดอะไรให้ชัดเจนโปร่งใส สำหรับผมที่เป็นพุทธศาสนิกชนต้องมีเวลาภาวนา อย่าใช้หัวสมองแก้ไขอย่างเดียว ใช้หัวใจแก้ไขด้วย คุณไม่ต้องถือศาสนาก็ภาวนาได้ ให้รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราคือลมหายใจ หัดฝึกลมหายใจ หายใจสั้นจะเครียด หายใจยาวจะช่วย แล้วจัดลมหายใจสั้นยาว จะสามารถฝึกจิตให้เปลี่ยนความโกรธเป็นความรักได้ แม้แต่พวกที่ไปร้องเย้วๆ อยู่ ถ้ามีเวลาหัดเดินลมหายใจบ้าง มิฉะนั้นจะเครียดเกินไป ต้องมีอารมณ์ขันด้วย หัวเราะเยาะตัวเองด้วย อันนี้จะช่วย

ฝ่ายนักศึกษาเรียกร้องว่านักการเมืองควรนำข้อเสนอไปพูดในสภา

เขาเรียกร้อง รัฐบาลจะทำหรือไม่ก็อีกเรื่อง แต่รัฐบาลก็ไม่เห็นจะต้องรังเกียจ ก็ทำได้ เอาเข้าสภา ตัวเองก็คุมสภาอยู่นี่ จะกลัวอะไรล่ะ

ฝ่ายนักศึกษาต้องปรับท่าทีหรือทิศทางการเรียกร้องอย่างไรไหม หากอยากให้ฝ่ายอนุรักษนิยมรับฟังอย่างจริงจัง

ยิ่งเรียกร้องมากขึ้น เขาก็จะปรับเปลี่ยนตัวเองได้มากขึ้น ประสบการณ์จะสอนให้เขาดีขึ้นเรื่อยๆ ธรรมดา เอาใจช่วยเขาเถอะ อย่าไปวิตกแทนเขาเลย

หากต้องพูดกับฝ่ายอนุรักษนิยมและผู้มีอำนาจในเวลานี้ ประเด็นใดที่พวกเขาควรคำนึงในการรับมือกับนักศึกษา

พูดไปแล้วเขาไม่ฟังก็ไม่มีประโยชน์หรอก ผมทั้งเขียน ทั้งลงเฟซบุ๊ก เตือนประยุทธ์มาตลอดเลย ถึงกับตั้งชื่อหนังสือ ‘สีซอให้ คสช.ฟัง’ เขาก็ไม่สนใจ ก็น่าสงสาร ทั้งๆ ที่ผมถือตัวเป็นเพื่อนกับเขานะ ผมไม่ได้ถือเป็นศัตรูกับเขาเลย เพราะฉะนั้นคนที่ไม่อยากจะฟังเราช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก พูดกับคนที่อยากฟังเราดีกว่า

Time for Nature – บทความพิเศษเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน 2563

Time for Nature – บทความพิเศษเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน 2563

1

วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี ตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะระลึกถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เพราะการดูแลสิ่งแวดล้อมคือการดูแลมนุษยชาติ และสุขภาพของเราแยกไม่ออกจากสุขภาพของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าอาหารที่เรารับประทาน น้ำที่เราดื่ม อากาศที่เราหายใจ บรรยากาศของโลกที่เรามีชีวิตอยู่ล้วนสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม

2

คำขวัญหรือสโลแกน (slogan) ประจำวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ คือ Time for Nature และมีหัวข้อรณรงค์หรือธีม (theme) คือ Biodiversity ชี้ให้เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาสำหรับธรรมชาติ เพื่อเรียกร้องให้พลเมืองโลกหันมาตระหนักถึงอันตรายจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ให้ช่วยเร่งฟื้นฟูธรรมชาติที่เสื่อมโทรม หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์

โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP : United Nations Environment Programme) ประเมินว่ารอบทศวรรษที่ผ่านมา พืชและสัตว์ราวหนึ่งล้านชนิดอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์

Time for Nature - บทความพิเศษเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน 2563

(ภาพ : Alexis Antoine / unsplash)

3

วันสิ่งแวดล้อมโลกประจำปี พ.ศ.2563 มีประเทศโคลอมเบียซึ่งตั้งอยู่ในแถบละตินอเมริกาเป็นเจ้าภาพ โดยร่วมกับประเทศเยอรมนีในทวีปยุโรป

โคลอมเบียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดของโลก เฉพาะกล้วยไม้มีมากกว่า ๓,๕๐๐ สายพันธุ์ และมีนกมากถึงร้อยละ ๑๙ ของชนิดพันธุ์นกทั้งหมดในโลก รัฐบาลโคลอมเบียกำหนดให้การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นของประเทศ

4

ความหลากหลายทางชีวภาพ คือ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตนับตั้งแต่พืชและสัตว์ไปจนถึงเชื้อราและแบคทีเรีย ประเมินว่าบนโลกใบนี้มีจำนวนสิ่งมีชีวิตมากกว่า ๘ ล้านชนิดพันธุ์ ขณะที่ระบบนิเวศที่ถือเป็น “บ้าน” ของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ มีตั้งแต่มหาสมุทร ป่าไม้ ภูเขา แนวปะการัง ฯลฯ ผลการศึกษาหลายชิ้นยืนยันว่าระบบนิเวศที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของสิ่งมีชีวิตคือระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และเป็นพื้นฐานการดำรงอยู่ของมนุษย์

ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเกื้อกูลชีวิตมนุษย์หลายทาง ทั้งช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ ปรับปรุงคุณภาพน้ำให้สะอาด ผลิตเป็นอาหารและสารปรุงแต่งต่างๆ ที่นำมาบริโภค เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของยารักษาโรค ระบบนิเวศที่มีความสมดุลยังช่วยลดทอนความรุนแรงของภัยพิบัติ

5

ความหลากหลายทางชีวภาพกำลังลดลงในทั่วทุกภูมิภาคของโลก สิ่งนี้บั่นทอนนิเวศบริการ (ecosystem services) หรือความช่วยเหลือจากธรรมชาติให้เรามีชีวิตได้อย่างปกติ แล้วความผิดปกติที่ว่านั้นคืออะไร ?

รอบปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์หลายอย่างบ่งชี้ว่าเรากำลังปล่อยให้ธรรมชาติถูกทำลายทั้งทางตรงและทางอ้อม นับตั้งแต่การเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ในบราซิล สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย การรุกรานพืชผลทางการเกษตรและชุมชนเมืองของฝูงตั๊กแตนในแอฟริกา การสูญเสียแนวปะการังใต้ท้องสมุทร

แม้แต่การระบาดใหญ่ของโรคโควิด-๑๙ ก็สันนิษฐานว่ามีที่มาจากการระบาดของเชื้อไวรัสจากสัตว์ป่ามาสู่คน นอกจากจะส่งสัญญาณว่ามนุษย์เข้าไปแทรกแซงการดำรงชีวิตของสัตว์ป่าผ่านการลักลอบค้าสัตว์ป่า การบุกรุกป่า ยังแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของโลกเชื่อมโยงกับสุขภาพของเรา

รายงานล่าสุดของ Intergovernmental Science-Policy Platform on Biodiversity and Ecosystem Services (IPBES) ระบุว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและสุขภาพ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและถิ่นอาศัยดั้งเดิมจะเพิ่มการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อและไวรัส ประเมินว่าการเจ็บป่วยประมาณ ๑ พันล้านกรณี และความตายนับล้านกรณีในปัจจุบันเกิดจาก zoonoses หรือโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (เช่น โรคพิษสุนัขบ้าติดจากสุนัข กาฬโรคติดจากหนู แอนแทรกซ์ติดจากวัว) ประมาณร้อยละ ๖๐ ของโรคติดเชื้อในมนุษย์ทั้งหมดเป็น zoonoses และมีสัดส่วนถึงร้อยละ ๗๕ ของโรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นใหม่

(ภาพ : Max Rovensky / unsplash)

6

เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพ นิเวศบริการที่เกิดจากความหลากหลายทางชีวภาพประเมินว่ามีมูลค่าสูงถึง ๑๒๕-๑๔๐ ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี มากกว่า ๑.๕ เท่าของขนาดจีดีพีทั่วโลก

หากเราคำนึงถึงอาหารที่เราบริโภค น้ำที่เราดื่มกิน อากาศที่เราสูดลมหายใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากธรรมชาติและธรรมชาติรอบกาย

ขณะที่พลเมืองโลกกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นถึงหลัก ๑ หมื่นล้านคน เราจำเป็นต้องตระหนักถึงคุณค่าที่สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติมอบให้ และไม่ทำร้ายธรรมชาติ

นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่าถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราให้เอื้อต่อการก่อเกิดความหลากหลายทางชีวภาพ เราจะตกอยู่ในอันตรายจากไวรัส การระบาดของโรคต่างๆ มากขึ้น เพื่อป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เราต้องจัดการกับภัยคุกคามธรรมชาติหลายอย่างจากกิจกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น การบุกรุกป่า การค้าสัตว์ป่า การปล่อยมลภาวะ

7

ในสถานการณ์ที่โรคโควิด-๑๙ กำลังแพร่ระบาด ผู้คนทั้งโลกจะกำลังเผชิญความยากลำบาก การเวียนมาถึงของวันสิ่งแวดล้อมโลกทำให้เราฉุกคิดถึงระบบเศรษฐกิจที่ผ่านมา การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ในสถานการณ์ที่นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ บุคคลากรทางการแพทย์ กำลังระดมสรรพกำลังเพื่อก้าวข้ามโรคระบาดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ภาวะเช่นนี้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาวะโลกร้อน การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพยังเป็นสิ่งที่เราไม่อาจมองข้าม

ยังไม่สายเกินไปที่จะยับยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเราต้องเริ่มคิดถึงผลกระทบของพฤติกรรมเราต่อธรรมชาติรอบๆตัว แล้วเพิ่มความมุ่งมั่น และตระหนักถึงความรับผิดชอบที่จะปกป้องสิ่งแวดล้อม

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องอนุรักษ์และฟื้นฟูสัตว์ป่า เพิ่มพื้นที่ป่า ลดระบบเกษตรกรรมและการบริโภคที่มีส่วนรุกรานป่าไม้ นอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปรับระบบเศรษฐกิจให้คำนึงถึงความยั่งยืนร่วมกัน

8

นอกเหนือจากเหตุผลที่กล่าวมา วันสิ่งแวดล้อมโลกมีจุดหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้พลเมืองโลกเรียกร้องต่อรัฐบาลของตนดำเนินนโยบายที่คำนึงถึงการปกป้องธรรมชาติ หยุดสร้างมลพิษ และช่วยกันตรวจสอบให้แน่ใจว่ากฎหมายสิ่งแวดล้อมไม่ได้อยู่ในภาวะอ่อนระโหยโรงแรง

ภาคเอกชน บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และการผลิตอื่นๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงการผลิตที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

ประชาชน และภาคประชาสังคมควรศึกษาวิธีการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม

ผู้บริโภคควรคิดใหม่ในสิ่งที่พวกเขาซื้อ

เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราต้องรวมกลุ่มกันเพื่อค้นหารูปแบบการดำเนินชีวิตที่ไม่เพียงแต่จะสอดคล้องกลมกลืนกับมนุษย์ด้วยกัน แต่รวมทั้งสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

การตอบสนองของพลเมืองโลกต่อการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-๑๙ แสดงให้เห็นว่าเพื่อจัดการปัญหาเร่งด่วนที่คุกคามสังคมของเรา เรายังมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แนวทางฟื้นฟูเพื่อกลับไปเริ่มต้นการดำรงชีวิตอีกครั้งควรรับเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้ามาเป็นประเด็นหลัก เพราะคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราคือคุณภาพชีวิต

วันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ ได้เวลาทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับธรรมชาติ ได้เวลาที่จะทำให้ธรรมชาติเป็นหัวใจของการตัดสินใจทั้งหมดของเราแล้ว

เอกสารประกอบการเขียน :

  • World Environment Day 2020 : a Practical Guide for individuals, faith groups, businesses, cities, governments, schools & universities, youth groups and civil society

พิเคราะห์สังคมไทย 101 บทนำ: ทำไมต้องรู้จักประวัติศาสตร์ของตนเอง

พิเคราะห์สังคมไทย 101 บทนำ: ทำไมต้องรู้จักประวัติศาสตร์ของตนเอง

นี่เป็นหนึ่งในคลิปวีดีโอของ ชุดพิเคราะห์สังคมไทย 101 การบอกเล่าประวัติศาสตร์จากปากคำอ.สุลักษณ์ เป็นประเดิม ในชุดนี้เราจะมาฟังมุมมองประวัติศาสตร์ อย่างวิพากษ์วิจารณ์ นับแต่การก่อตังราชวงศ์จักรี ผ่านการปฏิรูปสำคัญๆ ในสมัยรัชการที่่ 4 ที่่ 5 ผ่านการปฏิวัติ 2475

เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

การรู้จักประวัติศาสตร์ เป็นส่วนสำคัญสำหรับการก้าวไปข้างหน้าอย่างรู้เท่าทัน เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้นั้นมันคลี่คลายมาจากเหตุปัจจัยอะไรบ้าง #อภิวัฒน์๒๔๗๕ เป็นความจริงสำคัญในทางประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ที่มีชนชั้นนำปฏิกิริยาพยายามปิดบัง บิดเบือน แม้กระทั่งใส่ร้ายป้ายสี มาโดยตลอด

ในโอกาสครบรอบ ๘๘ ปีของเหตุการณ์สำคัญนั้น เราได้สัมภาษณ์ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ท่านมองเห็นทั้งข้อดีข้อเสีย จุดอ่อน จุดแข็ง ของการเปลี่่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ และเล่าให้เราฟังอย่างมีชีวิตชีวา รวม ๑๕ ตอน เราเริ่มสัมภาษณ์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๖๒ เสร็จสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ และทะยอยนำขึ้นเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ ๑๘มีนาคม ๒๕๖๓ และสิ้นสุดครั้งสุดท้ายเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๓

บัดนี้เราได้รวบรวมทั้ง ๑๕ ตอนมาอยู่ในที่นี้ เพื่อสะดวกแก่การค้นคว้า ศึกษา สำหรับท่านที่สนใจ หากมีข้อบกพร่องใดๆ เรายินดีรับฟังและปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้วิดีทัศน์ชุดนี้สมบูรณ์ที่สุด เท่าที่กำลังและสติปัญญาอันจำกัดของพวกเราจะทำได้ หากท่านมีคำถามเพิ่มเติม เรายินดีรับไว้ และนำไป ถามอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เพื่อจัดทำเป็นตอนพิเศษ ตอบคำถามต่างๆต่อไป พวกเราขอขอบคุณกำลังใจที่ได้รับจากทุกท่านที่ติชมและในคำแนะนำเข้ามา และช่วยกันเผยแพร่ต่อๆกันไป

ด้วยจิตคารวะ

ประชา หุตานุวัตร
ณพัฒน์ พัฒนพีระเดช
อันวยา แก้วพิทักษ์
คณะทัศนาธิการ

สำนึก ‘ปัจเจกชนนิยมใหม่’

สำนึก 'ปัจเจกชนนิยมใหม่'

Author : อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

ความที่จะกล่าวต่อไปนี้มีจุดเริ่มต้นจากการพูดคุย ระหว่างผมกับอาจารย์กฤตภัค งามวาสีนนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ และคุณพงศกร เฉลิมชุติเดช เจ้าหน้าที่ส่วนงานวิจัย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในประเด็นที่น่าสนใจสองเรื่อง เรื่องแรกได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ “ขัน/ตลก” ของคนในสังคมไทยปัจจุบัน ซึ่งทำให้นักแสดงตลกรุ่นเก่าเริ่ม “ตลก” น้อยลงและหางานได้ยากขึ้น ท่านทั้งสองก็ยกตัวอย่างการทำงาน “ตลก” ของคนรุ่นใหม่และท่านก็เน้นว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพราะตลกรุ่นเก่าไม่มีฝีมือแล้ว หากแต่เป็นเพราะความรู้สึก “ตลก” ของคนไทยในสังคมไทยปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจนทำให้พวกเขารู้สึก “ตลก” น้อยลงกับกลเม็ดของตลกรุ่นเก่า

เรื่องความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ตลก” นี้น่าสนใจมากนะครับ แต่ผมไม่มีความรู้เพียงพอที่จะอธิบายได้ จึงขอให้ทั้งสองท่านเขียนออกมาเพื่อให้เกิดการถกเถียงกันในสังคม ซึ่งท่านทั้งสองก็ได้รับปากผมว่าจะเขียนเป็นความเรียงเพื่อเสนอต่อสังคมในเร็วๆนี้ (ผมผูกสัญญาทั้งสองท่านผ่านหน้าหนังสือพิมพ์แล้วนะครับ)

เรื่องที่ 2 ได้แก่ การนิยาม/ให้ความหมายตนเองของคนเล่น “เฟสบุ๊ค” จำนวนมาก คุณพงศกร เฉลิมชุติเดช เล่าให้ฟังว่าคนเล่นเฟสบุ๊กจำนวนไม่น้อยที่เขาอ่านพบ มักจะนิยามตัวเองว่า “เป็นคนแรง เป็นคนตรง” พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นอย่างไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น มิหนำซ้ำมักจะสำทับคนที่ไม่พอใจการแสดงออกต่างๆในเฟสบุ๊คของตนทำนองว่าหากไม่พอใจและรับไม่ได้ก็อย่าเข้ามาอ่าน

การจะแสดงตนเองว่าเป็น “คนแรง คนตรง” ก็จะเป็นการแสดงความคิดเห็นความรู้สึกที่ปฏิเสธขนบทางสังคมทั้งหลาย เช่นการใช้คำแทนอวัยวะเพศชาย/เพศหญิงอย่างตรงไปตรงมา หรือ การใช้คำที่ถือกันว่าเป็น “คำหยาบ” อย่างเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ รวมไปถึง การเขียนแสดงความรู้สึกของตนเองต่อเรื่องต่างๆอย่างไม่พะวงอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ หรือชีวิตประจำวันทั่วไป

การแสดงตนเองเช่นนี้กำลังกำเนิดและฝังอยู่ระบอบอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคม เป็นปรากฏการณ์สำคัญมากในระบบความสัมพันธ์ทางสังคม เป็นอารมณ์ความรู้สึกสำนึกถึงตนเองอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นสำนึก “ปัจเจกชนนิยมใหม่” (New Individualism ) ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสำนึกเชิง ปัจเจกชนนิยม” ลักษณะเดิม

ความเปลี่ยนแปลงจนทำให้เกิดความแตกต่างของสำนึกเชิง “ปัจเจกชนนิยม” นี้เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องให้ความสนใจมากขึ้น เพราะนี่คือฐานความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

สำนึกเชิง “ปัจเจกชนนิยม” ในสังคมไทยเกิดขึ้นมาหลายระลอก และก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนอย่างชัดเจนจนพลังผลักดันให้มีความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเกิดขึ้น นับเนื่องได้ตั้งแต่ทศวรรษ 2460 ซึ่งผู้คนที่กอรป์ด้วยสำนึกเชิงปัจเจกชนได้ลุกขึ้นท้าทายระบบอุดมการณ์ของรัฐสมบูณาญาสิทธิราชย์และดำเนินไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ต่อมาการเริ่มตั้งคำถามกับระบอบอำนาจนิยมในทศวรรษ 2510 ของกลุ่มนักศึกษาที่เริ่มนิยามตนเองว่าเป็น “เสรีชน” ได้ทำให้ขบวนการนักศึกษาเติบใหญ่และท้าทายอำนาจรัฐทหารในเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516

สำนึกเชิง “ปัจเจกชนนิยม” ในอดีตของสังคมไทย เป็นสำนึกในศักยภาพของตนเองในฐานะมนุษย์เท่าเทียมกันและที่สำคัญตนเองในฐานะปัจเจกบุคคลจะมีความสัมพันธ์ผูกมัดเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างเหนียวแน่น คนจำนวนมากจึงพร้อมที่จะอุทิศตนเองให้แก่การทำประโยชน์ให้แก่สังคมเพราะความหมายชีวิตของปัจเจกบุคคลจะมีค่าก็ต่อเมื่อได้ทำสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายให้แก่สังคม

แต่ความเปลี่ยนแปลงในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้สำนึกเชิง “ปัจเจกชนนิยม” แบบเดิมนั้นเริ่มอ่อนพลังลง และได้ก่อเกิดสำนึกเชิง “ปัจเจกชนนิยมใหม่” ขึ้นมาแทนที่

สำนึกเชิง “ปัจเจกชนนิยมใหม่” จะเป็นสำนึกที่เน้นความเป็นปัจเจกของตนเองอย่างเต็มเปี่ยมโดยที่จะไม่ผูกพันกับระบบคุณค่าใดๆของสังคม ซึ่งเป็นสำนึกส่วนตัวที่แยกออกจากสรรพสิ่ง (Individualism as isolated privatism) กรอบการคิดและอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดจะหมกมุ่นอยู่กับตัวตนของตนเอง และพร้อมที่จะจัดการทุกอย่างรอบตัวเพื่อตอบสนองหรือเติมเต็มความเป็นตัวเอง (self-realization and self- fulfillment ) 

สังคมที่ประกอบไปด้วยผู้คนที่มีสำนึกเชิง “ปัจเจกชนนิยมใหม่ ” จำนวนมากขึ้นๆ ก็จะพบกับการละเมิดพื้นที่สาธารณะทุกรูปแบบมากขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตี/เข่นฆ่ากันในเฟสบุ๊ค หรือ ฆ่ากันจริงจังบนท้องถนน แม้ว่าในวันนี้ เรายังพอจะมีเส้นจริยธรรมขวางกั้นการละเมิดกันอยู่ได้บ้าง เช่น พ่อเฒ่าขับเบนซ์แล้วตบเด็ก ก็ถูกโจมตีจนเสียผู้เสียคน แต่เส้นจริยธรรมนี้ก็จะบางลงไปเรื่อยๆตามจำนวนและความเข้มข้นของผู้คนที่เข้าสู่สำนึก “ปัจเจกชนนิยมใหม่” 

เราจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อที่จะทำให้สังคมเราพอจะอยู่กันต่อไปได้

การทำให้เกิดกิจกรรมที่ผู้คนทั้งหลายจะสามารถเชื่อมตัวเองกับคนอื่นๆและมองเห็นผลดีที่เกิดขึ้นกับสังคมจะช่วยผ่อนคลายสำนึกเชิง “ปัจเจกชนนิยมใหม่” ลงไปได้ แต่สังคมจะสร้างกิจกรรมอะไร เพราะเท่าที่ผ่านมาสังคมไทยไม่ได้คิดให้คนอื่นๆมาร่วมสร้างกิจกรรมเลย มีแต่สังคม/รัฐ/กลุ่มทุนจัดกิจกรรมแล้วให้คนมาร่วมดูเท่านั้น หากคิดกันใหม่ สนามกีฬาอาจจะต้องเปิดการแข่งขันกีฬาสำหรับผู้ที่เล่นไม่เป็น โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยอาจจะต้องยอมให้นักเรียนนักศึกษาได้มีส่วนในการสร้างกิจกรรมด้วยตัวเองไม่ใช่สถานศึกษาจัดกิจกรรมแล้วบังคับให้เด็กมาร่วมเท่านั้น