รากเหง้าของความขัดแย้งในโลกปัจจุบัน

รากเหง้าของความขัดแย้งในโลกปัจจุบัน

Author : อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

เราจะเข้าใจภาพน่าสะพรึงกลัวของความรุนแรงและสงครามที่กระจายไปทุกพื้นที่ของโลกในวันนี้ได้อย่างไร

เมื่อหลายเดือนก่อน ผมได้รับเกียรติไปคุยในการประชุมสัมมนาเรื่อง “ มองไปข้างหน้า …บทเรียนจากอดีต ” จัดโดยศูนย์นโยบายโลกมุสลิม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเด็นที่ไปแลกเปลี่ยนยังคงอยู่ในสมอง จึงขออนุญาตินำมาขยายความนะครับ

ความเข้าใจ อดีต ” ช่วยให้มอง/เข้าใจปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้น แต่ความรู้ความเข้าใจที่ดีขึ้นนี้จะ “สร้างทาง”ไปสู่อนาคตได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขพลังทางสังคมอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งบางปัจจัยก็เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้หรือผูกพันความซับซ้อนไว้มากเกินกว่าคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดจะแก้ไขได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะ “ สร้างทาง” ไปสู่อนาคตได้หรือไม่ได้ก็ตาม เราก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นนี้ให้ชัดเจนขึ้น

ความขัดแย้งในปัจจุบันเป็นผลผลิตที่สำคัญของเงื่อนไขพลวัตรทางประวัติศาสตร์อย่างน้อยห้าประการด้วยกัน ได้แก่ 1.การเกิด “รัฐชาติ” ในสภาวะที่ยังไม่มี”ชาติ” (อาณานิคม) 2.การเกิดรัฐชาติกับการแตกตัวทางชนชั้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง 3.สงครามเย็นกับ “ปัญหาความขัดแย้ง”ใต้พื้นผิว 4.การสิ้นสุดสงครามเย็น/ เสรีนิยมใหม่ /จักรวรรดิ์นิยมใหม่ 5.” เศรษฐกิจสงคราม” ต่อต้านจักรวรรดิ

การเกิด รัฐชาติ” ในสภาวะที่ยังไม่มีชาติ” (อาณานิคม) เป็นรากเหง้าพื้นฐานที่สำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในปัจจุบัน กล่าวคือ การขีดเส้นแบ่งอำนาจการปกครองของบรรดาเจ้าอาณานิคมที่ไม่ได้แยแสความแตกต่างของชาติพันธ์ภายใต้อำนาจปกครองของตนเอง ได้ส่งผลให้ “รัฐ” ที่เกิดใหม่หลังสงครามโลกจึงเป็น“รัฐ” ที่ยังไม่มีความสำนึกความเป็น “ ชาติ” ร่วมกัน เจ้าอาณานิคมจะเลือกเอากลุ่มชาติพันธ์บางกลุ่มขึ้นมามีอำนาจเหนือกลุ่มชาติพันธ์อื่นๆใน “รัฐ” ใหม่ที่สถาปนาขึ้น เพื่อที่จะให้เจ้าผู้ปกครองรัฐใหม่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนในลักษณะเดียวกับที่เป็นมาก่อนได้เอกราช ซึ่งทำให้ปัญหาความขัดแย้งอันเกิดจากความแตกต่างทางชาติพันธ์ดำรงอยู่

เมื่อเกิดรัฐชาติใหม่ขึ้นมา เจ้าผู้ปกครองรัฐใหม่ก็จะดำเนินนโยบายที่ยังประโยชน์ให้เฉพาะกลุ่มชาติพันธ์ของตน ส่งผลทำให้เกิดการแตกตัวทางชนชั้นที่ขึ้นอยู่กับชาติพันธ์ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมให้ปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธ์เดิมคุกรุ่นมากขึ้น ตัวอย่างของโลกอาหรับชัดเจนมากว่าภายใต้เงื่อนไขน้ำมันเป็นสินค้าจำเป็นและมีราคาสูงทำให้เกิดการแตกตัวทางชนชั้นชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกับรัฐได้แปรรูปรัฐมาสู่การเป็นรัฐแสวงหาค่าเช้าทางเศรษฐกิจ (rentier-state)ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับอิทธิพลของบริษัทน้ำมันใหญ่ ๗ บริษัท (Seven Sisters) ซึ่งย่ิงทำให้ช่องว่างทางชนชั้นและชาติพันธ์ถ่างมากขึ้น

ในช่วงเวลาของสงครามเย็นจนถึง ค.ศ.1990 ความขัดแย้งระหว่างชาติพันธ์ได้ปะทุขึ้นแต่อยู่ภายใต้กรอบการคิดและปฏิบัติการณ์ของโลกสองฝ่าย ซึ่งทำให้ปัญหาทางชาติพันธ์ถูกซ่อนเอาไว้ใต้พรมของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ แต่ขณะเดียวกัน ก็ได้ทำให้กลุ่มชาติพันธ์ย่อยต่างๆได้มีโอกาสสะสมความชำนาญในการต่อสู้หลายรูปแบบและสามารถที่จะสะสมอาวุธ/ทรัพยากรไว้ได้ไม่น้อยทีเดียว ขณะเดียวกัน ภายใต้เงื่อนไขการต่อสู้ของสงครามเย็น การช่วงชิงพลเมืองด้วยการขยายตัวของการบริการของรัฐขยายตัวมากขึ้น แต่การโอบอุ้มพลเมืองก็เป็นไปตามการแบ่งกลุ่มเชื้อชาติ/ศาสนา/วัฒนธรรม ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาชนชั้นและชาติพันธ์ให้ความเกลียดชังระหว่างกันทวีมากขึ้น

การสิ้นสุดสงครามเย็นจากทศวรรษ 1990 เป็นต้นมาได้ทำให้เกิดการจัดระบบความสัมพันธ์ทางอำนาจภายในรัฐและระหว่างรัฐในรูปแบบใหม่ ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างพลเมืองกับรัฐได้แปรรูปไปตามลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่ลดภาคการบริการของรัฐลง โดยปลดปล่อยปัจเจกชนในดำรงอยู่ในระบบตลาดด้วยตัวเอง ก็ยิ่งทำให้ปัญหาความยากจนทวีสูงขึ้นมาก

พร้อมกันนั้น การจัดระบบความสัมพันธ์ทางอำนาจใหม่ที่ทุนเบื้องหลังรัฐทุกรัฐได้สานสายใยสัมพันธ์ข้ามรัฐเพื่อแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดได้ทำให้การขูดรีดทำได้โดยตรงไม่จำเป็นต้องพะวงต่อการปกป้องพลเมืองจากอำนาจรัฐแบบเดิม ซึ่งทำให้การขยายอำนาจข้ามรัฐโดยมหาอำนาจเกิดขึ้นทั่วไปและเกิดขึ้นไม่ยากนัก ซึ่งย่ิงทำให้ความคับแค้นของผู้ยากไร้เกิดขึ้นในอีกมิติหนึ่งที่ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ปกครองรัฐตนเองเท่านั้น หากแต่มองข้ามไปถึงจักรวรรดิ์ใหม่ที่ขยายตัวเข้ามาขูดรีดตนเองด้วย

ประวัติศาสตร์” ที่ดำเนินมาดังกล่าวนี้ จึงทำให้รอยปะทุของความคับแค้นของผู้คนเกิดขึ้นได้ง่ายมากขึ้น เมื่อกลุ่มคนผู้ยากไร้และเป็นคนละชาติพันธ์กับผู้ปกครองมีโอกาสในการสร้างหรือสัมพันธ์กับสภาพการเป็น “กองทหาร” ภายใต้เงื่อนไขสงครามเย็นที่ผ่านมา จึงพร้อมที่จะใช้ประสพการณ์และความสามารถต่างๆเพื่อปลดเปลื้องความคับแค้น พร้อมกันนั้น การแสวงหาผลประโยชน์จากการทำสงครามจากกลุ่มทุนอีกมากมายหลายกลุ่มจึงทำให้ “ สงคราม” เป็นที่มาของโภคทรัพย์ การเลี้ยงไข้ “สงคราม” ให้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆจึงเป็นเรื่องที่กลุ่มทุนอาวุธให้การสนับสนุนอย่างกึ่งลับกึ่งเปิดเผย

รากเหง้าที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและสงครามในโลกวันนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ หากแต่เป็นผลต่อเนื่องที่ดำเนินมาจาก “ อดีต” ที่ถักสานกันมาอย่างต่อเนื่อง เรา : คนตัวเล็กตัวน้อยในโลกนี้จึงต้องรับกรรมร่วมไปด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เขาหาว่าคนไทย มีจุดอ่อน 10 ประการ

เขาหาว่าคนไทย มีจุดอ่อน 10 ประการ

Author : กาแฟดำ

มีคนส่งเรื่องนี้ผ่าน social media มาให้อ่าน อ้างว่าเป็นบทวิเคราะห์ของอดีตผู้บริหาร ของหน่วยงานญี่ปุ่น

ประจำประเทศไทย วิเคราะห์ “จุดอ่อน” ของคนไทย 10 ข้อที่บางคนบอกว่า จี้แทงใจดำกันทีเดียว

ผมไม่แน่ใจว่าคนแสดงความเห็นที่ว่านี้เป็นเจ้าหน้าที่คนที่ว่าหรือไม่ ผมรู้จักเขา และรู้ว่าเขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา เอาเป็นว่าเนื้อหาของบทวิเคราะห์นี้น่าสนใจสำหรับคนไทยมาก ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ หากคนอื่นเขามองเราอย่างนี้ก็น่าจะมีเหตุที่ทำให้เราต้องคิดใคร่ครวญให้หนักเพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงตัวเองอย่างจริงจัง

เขาบอกว่า “จุดอ่อน 10 ข้อ” ของคนไทยมีอย่างนี้

1. คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศล้าหลัง

2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง จึงตามหลังชาติอื่น คนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคต ทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ น้อยคนนักที่จะทำงานเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญา ข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว คนไทยจึงถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือลงเรื่อย ๆ

5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มแข็งและไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน

7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจมีเงินโดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจเพื่อเอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์ บ่อยครั้งที่ต้องเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านแบบหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่พูดกัน

9. ยังไม่พร้อมสำหรับเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือ ในเวทีการค้าระดับโลกยังขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยงลูกไม่เป็น เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็งเพราะการเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ไม่กระตือรือร้นในการช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และไม่สอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม

ผมไม่ต้องเพิ่มเติมความเห็น ท่านผู้อ่านเห็นด้วยหรือเห็นแย้งอย่างไร ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ครับ

ภาวะ “ล้มละลาย ความเป็นมนุษย์” ในสังคมไทย

ภาวะ "ล้มละลาย ความเป็นมนุษย์" ในสังคมไทย

Author : จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์

ข้าพเจ้าเป็นนักมานุษยวิทยารุ่นเก่า การมองโลกแนวคิดทฤษฎีและ วิธีการก็เป็นแบบรุ่นเก่า

ต่างไปจากรุ่นใหม่ที่เรียกว่ารุ่นหลังสมัยใหม่ [PostModern]

ความมุ่งหมายของนักมานุษยวิทยาคือ การศึกษาให้เข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง

ที่มีวิวัฒนาการ [Evolution] แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่นที่เป็นเดรัจฉานอย่างไร

 

การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในที่อยู่อาศัยแต่เดิมของชาวชุมชนป้อมมหากาฬ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙

 

โดยอาศัยวิชาที่เป็นสาขาคือ มานุษยวิทยากายภาพ [Physical Anthropology] และวิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ [Prehistoric Archaeology] เป็นเครื่องมือศึกษาให้เห็นขั้นตอนของวิวัฒนาการมานุษยวิทยากายภาพศึกษาให้เห็นวิวัฒนาการทางร่างกาย   และชีววิทยาที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์คือสัตว์คล้ายลิงที่มีวิวัฒนาการเลยเส้นแบ่งของสัตว์เดรัจฉานมาเป็นสัตว์มนุษย์ [Homosapien Sapiens] ที่มีความสามารถในการเรียนรู้สื่อสารกันได้ด้านภาษาเชิงสัญลักษณ์ และเป็นสัตว์สังคม [Social Animal] ชนิดหนึ่ง

 

ในขณะที่วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ศึกษามนุษย์ ในฐานะเป็นสัตว์วัฒนธรรมที่เรียกว่า Tool Maker คือสามารถคิดเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น เครื่องมือหินเพื่อการดำรงชีวิตรอด

 

สิ่งที่มนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็น กลุ่ม เหล่าคิดขึ้นเพื่อการมีชีวิตรอดร่วมกัน นั่นคือ วัฒนธรรม [Culture]

 

วิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์นับเนื่องเป็นสาขาหนึ่งของวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม   [Cultural Anthropology]   ที่เน้นการศึกษาด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก แต่วิชาที่ข้าพเจ้าได้รับการอบรมมาเป็นวิชามานุษยวิทยาสังคม [Social Anthropology] เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงวัฒนธรรมในหนทางของข้าพเจ้าจึงต้องมองทั้งวัฒนธรรมและสังคมอย่างแยกกันออกไป เปรียบเสมือนเหรียญที่มีสองด้านในเหรียญเดียวกัน

 

ถ้าหากวัฒนธรรมคือเนื้อหา สังคมก็คือบริบท [Social Context]

 

ยกตัวอย่างเช่นเรื่องประชาธิปไตยในประเทศไทยในขณะนี้ คนส่วนใหญ่สับสนระหว่างประชาธิปไตยลอยๆ แบบอุดมคติ ว่าต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้วอ้างและเลียนแบบประชาธิปไตยแบบอเมริกามาเป็นสากล ในขณะที่ประชาธิปไตยในสังคมไทยที่อยู่ในบริบททางสังคมคือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หาใช่ประธานาธิบดีแบบอเมริกันเป็นประมุขไม่ เพราะมีรูปแบบและระบบทางสังคมเศรษฐกิจแตกต่างกัน ไม่ควรที่จะคิดค้นเองแบบลอยๆ หรือที่เรียกว่า “มโน” แล้วมาวิวาทกันอย่างในปัจจุบัน

 

วิชามานุษยวิทยาสังคมแบบเก่าๆ ที่ข้าพเจ้าเล่าเรียนมานั้น เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า สังคมวิทยาเปรียบเทียบ [Comparative Sociology] คือศึกษาเปรียบเทียบสังคมหนึ่งแตกต่างจากสังคมอื่นๆ ในลักษณะเหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร และมักเป็นการศึกษาสังคมขนาดเล็ก เช่น สังคมตามท้องถิ่นที่เป็นเผ่าพันธุ์หรือสังคมแบบประเพณี และปล่อยให้เป็นเรื่องของนักสังคมวิทยาศึกษาสังคมเมืองหรือสังคมใหญ่ๆ ที่มีความซับซ้อนแทน ในลักษณะที่เป็นอีกวิชาหนึ่งที่เป็นเอกเทศ

 

สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจมากในเชิงวิวัฒนาการก็คือ ความเป็นมนุษย์และความล่มสลายทางสังคม วัฒนธรรม และความเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้รับการอบรมให้เห็นว่า   มนุษย์นอกจากเป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกันในครอบครัวและชุมชนแล้ว   มนุษย์ยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจ   สัตว์การเมือง และสัตว์ศีลธรรม [Moral Being] โดยเฉพาะความเป็นสัตว์ศีลธรรมนั้น ถ้าหมดไป ความล่มสลายของความเป็นมนุษย์ก็จะสิ้นสุดลง [Dehumanization]  แต่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์นั้นก็หาได้หมายถึงการล่มสลายของสังคมมนุษย์ไม่ เป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาและพื้นที่หนึ่งๆ เช่นนั้น

 

เช่น สังคมบุพกาลในสมัยแรกๆ เป็นสังคมแบบเผ่าพันธุ์ [Tribal Society] ที่คนมารวมกลุ่มกันด้วยความสัมพันธ์ทางเครือญาติจากสายเลือดและการแต่งงานของคนที่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน  มาเป็นสังคมชาวนา [Peasant Society] ที่ผู้คนหลายชาติพันธุ์  หลายภาษา และเครือญาติเข้ามาอยู่รวมกันในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เกิดความใกล้ชิดและความรู้สึกนึกคิดเป็นคนที่เกิดในพื้นที่หรือบ้านเกิดเดียวกัน

 

ผังโครงสร้างทางสังคม

 

“สังคมชาวนา” [Peasant Society]  แตกต่างไปจาก “สังคมเผ่าพันธุ์” [Tribal Society]  ในแง่ที่เป็น “ส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่” [Part Society] คือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเมือง รัฐ  และในที่สุดก็ประเทศชาติ  ที่มีวัฒนธรรมสองระดับ คือ “ประเพณีหลวง”  ของสังคมเมืองหรือรัฐอันเป็นส่วนรวมกับ “ประเพณีราษฎร์” ในระดับท้องถิ่น “ประเพณีหลวง” เป็นวัฒนธรรมของคนในสังคมเมื่อทำหน้าที่บูรณาการให้ “ประเพณีราษฎร์” ที่มีความแตกต่างและหลากหลายในท้องถิ่นเกิดสำนึกเป็นผู้คนในสังคมของแผ่นดินหรือชาติเดียวกัน

 

การเกิดขึ้นของการศึกษาวิชามานุษยวิทยาของนักมานุษยวิทยารุ่นเก่าส่วนหนึ่งนั้น ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์ที่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นพวกเดียวกัน ว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางราบรื่นในครรลองของความเป็นมนุษย์ หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางขัดแย้งรุนแรงจนเกิดภาวะล่มสลายในความเป็นมนุษย์หรือไม่

 

เพราะสังคมมนุษย์เป็นสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในมิติทางพื้นที่และเวลา เหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นเกิดขึ้น ๒ ทาง

 

ทางแรกจากภายในสังคมหรือชุมชนนั้น อันเนื่องมาจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่คนใน [Insider] สังคมนั้นคิดขึ้นมา กับทางที่สอง คือจากการติดต่อเกี่ยวข้องจากภายนอกแล้วรับเอาสิ่งใหม่ๆ แปลกๆ เข้ามา [Culture Contact]

 

ในประวัติศาสตร์การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ในสังคมแบบเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในอีกหลายภูมิภาคของโลกนั้น เกิดขึ้นในสมัยล่าอาณานิคมของประเทศทางตะวันตก ที่ทำให้คนในสังคมคิดอะไรที่เหมาะสมไม่เป็นแล้วไปรับเอาสิ่งที่เห็นว่าดีงามจากภายนอกเข้ามา ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการถูกบังคับจากอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจของผู้มีอำนาจจากภายนอก เช่น จากรัฐหรือจากต่างชาติ ที่เอากฎเกณฑ์ใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่าที่มีอยู่แล้วในสังคม

 

ในดินแดนประเทศไทย สังคมเผ่าพันธุ์ [Tribal Society] เปลี่ยนแปลงและสูญหายไปเกือบหมดแล้ว อันเนื่องจากการเติบโตของสังคมชาวนาและรัฐที่ทำให้ความเป็นสังคมเผ่าพันธุ์ล่มสลายและคงเหลืออยู่ในพื้นที่ชายขอบของรัฐบางแห่งเท่านั้น ความต่างกันของสังคมเผ่าพันธุ์กับสังคมชาวนานั้นอยู่ที่ สังคมเผ่าพันธุ์ของคนแต่ละกลุ่มเป็นสังคมอิสระมีอำนาจดูแลกันเองภายใน โดยอาศัยความสัมพันธ์กันทางระบบเครือญาติ โคตรเหง้า ตระกูล และครอบครัว ในขณะที่สังคมชาวนาหาเป็นอิสระไม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ [Part Society] คือต้องพึ่งพิงเมืองและรัฐทางการเมืองและเศรษฐกิจ

 

ความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงทางสังคมไม่ได้เกิดจากโครงสร้างสังคมในระบบเครือญาติ [Kinship] ของเผ่าพันธุ์ หากอยู่ที่พื้นที่ซึ่งผู้คนในชุมชนตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนบ้านและเมืองอยู่ร่วมกัน ในลักษณะแผ่นดินเกิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากความรู้สึกร่วมของคนว่าเป็นคนบ้านไหนและเมืองไหน เป็นต้น หาได้เอาความเป็นชาติพันธุ์มาเป็นศูนย์รวม

 

การล่มสลายของสังคมเผ่าพันธุ์และสังคมชาวนาในดินแดนประเทศไทยนั้นมีเหตุใหญ่ๆ มาจากการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก คือ เมื่อมีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมเข้ามานั้น คนในสังคมไม่สามารถเลือกเฟ้นและจัดการให้เข้ากันจนเกิดดุลยภาพระหว่างสิ่งใหม่ๆ และของเก่าได้ ก็จะเกิดการขัดแย้ง [Conflict] ขึ้น โดยเฉพาะความขัดแย้งทางศีลธรรมที่ทำให้ศีลธรรมและจริยธรรมในสังคมเสื่อมสลาย [Demoralization] ซึ่งถ้าหากไม่มีการฟื้นฟูให้อยู่ในทำนองคลองธรรมแล้ว จะทำให้ภาวะความเป็นมนุษย์ในสังคมนั้นๆ เกิดความล่มสลายในความเป็นมนุษย์[Dehumanization] จนถึงการใช้ความรุนแรงฆ่าฟันกัน หรือแย่งชิงกันอย่างชั่วร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน

 

ในกรณีการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] เท่าที่ข้าพเจ้ารับรู้มา แลไม่เห็นความเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรมที่นำไปสู่การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ จนถึงฆ่าฟันกันอย่างล้างเผ่าพันธุ์ แต่แลเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ จากการเคยอยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์ในท้องถิ่นที่ทำมาหากินแบบพึ่งพิงธรรมชาติตามฤดูกาลทั้งการล่าสัตว์ การเพาะปลูกที่ทำให้ต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทำกิน [Semi-nomadic] มาเป็นการตั้งถิ่นฐานอยู่ติดที่และทำการเพาะปลูกแบบทดน้ำในที่ราบลุ่มแทน โดยอยู่รวมกันกับคนในชาติพันธุ์อื่น ในรูปแบบของสังคมชาวนาที่ประกอบด้วยชุมชนบ้านและเมืองในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า “ท้องถิ่น” [Locality] ทำให้ต้องเปลี่ยนระบบความสัมพันธ์ทางสังคมจากระบบเครือญาติ [Kinship]มาเป็นระบบพี่น้องร่วมบ้านร่วมท้องถิ่นเดียวกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ในเรื่องการกินดองหรือการแต่งงานระหว่างกันกับการเป็นเพื่อนบ้าน เช่น ที่มีการผูกเสี่ยวของคนอีสานหรือผูกเกลอของคนใต้ รวมทั้งการเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์กับคนที่เป็นชนชั้นในเมืองที่เป็นผู้มีคุณธรรม

 

การล่มสลายของเผ่าพันธุ์ [Detribalization] ดังกล่าวนี้มีที่มาจากการเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรม [Demoralization] มาก่อน ดังเห็นได้จากการเกี่ยวข้องกับภายนอก ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เคยพึ่งพิงกันในทางเศรษฐกิจเพื่อมีชีวิตรอดร่วมกัน ความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระบบความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรม ค่านิยมโลกทัศน์ และศักดิ์ศรีของความเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มอย่างเสมอภาค มาเป็นความรู้สึกแปลกแยกเห็นแก่ตัวในลักษณะที่เป็นปัจเจก ที่รับเอาความเหลื่อมล้ำเข้ามาสร้างปมด้อยให้แก่ตนเอง

 

ดังเช่นคนหลายชาติพันธุ์ไม่ว่าคนชอง คนลัวะ ละว้า คนส่วยแลเห็นชาติพันธุ์ตนเองต่ำต้อยกว่าคนไทยจากภายนอก แล้วพยายามกลบเกลื่อนในความเป็นชาติพันธุ์ของตนไว้ รวมทั้งการแตกแยกไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นชุมชนดังเดิม โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่อื่นๆ ไปเป็นแรงงานในเมือง ไปอยู่ในชุมชนท้องถิ่นของคนที่เป็นชาวนาชาวบ้าน เป็นต้น

 

แต่การล่มสลายทางศีลธรรมและการล่มสลายของเผ่าพันธุ์ดังกล่าวนี้ ก็หาได้ทำลายความเป็นมนุษย์ไม่ หากถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นคนในสังคมชาวนา [Peasant Society] ในชุมชนท้องถิ่น [Localization] แทน

 

อย่างย่อๆ ก็คือ กลายเป็น “คนถิ่น” แทน “คนเผ่า” ไป

 

สังคมชาวนาเป็นสังคมของคนที่อยู่ในชุมชนถิ่นหรือท้องถิ่น [Local Communities] ที่ประกอบด้วยบ้านและเมือง มีมาช้านานแต่สมัยกว่าพันปีที่แล้วมา เริ่มเปลี่ยนแปลงแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นเมืองไทยภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก [Westernization] ที่มีมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔

 

การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองสมัยรัชกาลที่ ๕   เพื่อให้เป็นรัฐรวมศูนย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบทางประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก   คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการทำลายความเป็นอิสระของชุมชนท้องถิ่นและชีวิตวัฒนธรรม [Delocalization]

 

ดังเห็นได้จากการนำเอาพื้นที่ทางการบริหาร [Administrative Space] มาแทนที่พื้นที่วัฒนธรรม [Cultural Space] ในรูปแบบของหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอมาแทนที่ความเป็นชุมชนบ้านและเมือง แต่เดิม การให้กรรมสิทธิ์ที่ดินแก่ประชาชนโดยทั่วไปและการส่งเสริมการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกได้ทำให้ภูมิวัฒนธรรมของชุมชนบ้านเมืองที่มีวัดเป็นศูนย์กลาง ที่มีธรรมชาติป่าเขา ผสมกับพื้นที่ทำการเพาะปลูก อย่างได้สัดส่วนมาเป็นพื้นที่ทุ่งกว้างเพื่อการทำนา มีโรงสีและตลาดเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสังคมที่มีคนชั้นกลาง ซึ่งได้แก่พวกพ่อค้าคนจีน เจ้าของนา เจ้าของโรงสี และตลาดเกิดขึ้น

 

การขยายกิจการทางสาธารณูปโภค เช่น ทางรถยนต์ ทางรถไฟ และการชลประทาน ตลอดจนการตั้งสถานที่ทำการของทางราชการ ทำให้ผู้คนแต่เดิมที่ตั้งถิ่นฐานชุมชนอยู่ตามริมน้ำลำคลองย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ตามสองฝั่งถนนและทางรถไฟ ทั้งหมดนี้ทำให้ชุมชนชาวนาแต่เดิมต้องปรับตัวมาอยู่ในพื้นที่ใหม่และสภาพแวดล้อมใหม่

ซึ่งกระนั้นก็ดี รากเหง้าของความเป็นสังคมชาวนาในมิติทางวัฒนธรรมก็ยังไม่หมดสิ้นไป เพราะพื้นฐานเดิมเป็นสังคมเกษตรกรรมเป็นแต่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมแบบชาวนามาสู่เกษตรกรรมแบบกสิกร [Farmer] กสิกรเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง มีที่ดินมีเครื่องมือเครื่องใช้ของตัวเอง ต่างจากชาวนาเดิมที่ต้องอยู่กันเป็นกลุ่ม ช่วยเหลือเกื้อกูล

กันในการดำรงอยู่และการทำมาหากินที่มีลักษณะเป็นปัจเจก ชุมชนเกษตรกรเห็นได้จากการตั้งบ้านเรือนอยู่ในลักษณะกระจายเป็นกลุ่มครอบครัว [Homestead] ติดกับที่ทำกินและที่ดินของตนเอง แต่ก็มีวัด โรงเรียน ป่าช้าและตลาดเป็นศูนย์กลางอย่างสังคมชาวนาและการรับรู้ชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมท้องถิ่น [Local Communities] ร่วมกัน

 

โดยย่อสังคมท้องถิ่นยังคงดำรงอยู่แม้ว่าจะเปลี่ยนจากชาวนามาเป็นเกษตรกรหรือกสิกรแล้วก็ตาม

 

เขตเทือกเขาและที่สูงในจังหวัดน่านที่ปลูกพืชแบบเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด

 

การพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม แต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มสลายอัน เนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนจากที่ต่างๆ ทั้งภายในภายนอกเข้ามาอยู่และตั้งถิ่นฐาน ทำสถานที่ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรมและการสร้างถนน สร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าเกินขีดความสามารถของสังคมท้องถิ่น

 

แต่เดิมจะบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมให้คนที่เคลื่อนย้ายเข้ามามีสำนึกร่วมในการเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกันได้ นับแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช รัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เอาเศรษฐกิจ การเมืองมาเป็นตัวนำในการพัฒนาประเทศให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม เช่น ระบบเงินผันและการปั่นที่ดิน รวมทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยม ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นเริ่มแตกสลาย [Delocalization] ดังเช่น การขยายตัวของบรรดาบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ทำให้คนอยู่ในพื้นที่ใหม่อย่างไม่มีหัวนอนปลายตีน ต่างคนต่างอยู่ไม่อาทรแก่กัน และการตั้งถิ่นฐานใหม่เมืองใหม่ที่ทำลายลำน้ำ ลำคลอง หนองบึง และพื้นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้เกิดภาวะล่มสลายทางศีลธรรมและจริยธรรม ความเป็นมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมเริ่มเสื่อมและรับเอาค่านิยมและประเพณีทางโลกที่เป็นวัตถุนิยมบริโภคนิยมและความเป็นปัจเจกเยี่ยงเดรัจฉานเข้ามาแทนที่

 

นับแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ที่มีพรมแดนเกิดทุนเหนือรัฐและเหนือตลาด เป็นโครงสร้างไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบทุนนิยมเสรีเข้าครอบงำเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศทั้งในเมืองและชนบท

 

ภายใต้โครงสร้างของทุนข้ามชาติที่มีอำนาจเหนือรัฐและตลาด ได้ทำให้สังคมท้องถิ่นทั้งในเมืองและตามชนบทถูกบดขยี้ทั้งการถูกไล่ที่ หลอกลวงให้ขายที่อยู่อาศัยและทำกิน และการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ควรแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์แทบทุกหนแห่ง

 

กิจกรรมการอุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาและการเกษตร อุตสาหกรรมได้รุกล้ำเปลี่ยนที่ทางการเกษตรแต่เดิมให้หมดไป โดยคนที่เคยเป็นเกษตรกรที่อยู่ติดที่บ้านเกิดเมืองนอน ต้องโยกย้ายไปเป็นแรงงานข้ามถิ่นข้ามบ้านข้ามเมือง จนเกิดภาวะ “สังคมบ้านแตก” ขึ้นแก่บรรดาลูกหลานที่เป็นเยาวชน

 

ความคิดที่ชั่วร้ายของลัทธิทุนนิยมแบบไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ให้คำนิยามความเป็นมนุษย์ใหม่ว่า “ทรัพยากรมนุษย์” นั้น มีผลกระทบไปถึงการศึกษาอบรมตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนท้องถิ่น และบรรดาโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศ

 

การแพร่หลายทางเทคนิคของบรรดาเครื่องมือในการศึกษา   การสอน   และการสื่อสารแทบทุกชนิดขอคอมพิวเตอร์ที่น่าเอาแนวคิดปรัชญาและความรู้ทางวัตถุ ได้ทำลายระบบทางศีลธรรม จริยธรรมและความเป็นมนุษย์ให้แก่ผู้คนในสังคมทุกระดับชั้น รวมทั้งระบบและกระบวนการทางยุติธรรมการออกกฎหมายก็กลับกลายเป็นเหยื่อและเครื่องมือของบรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในการสร้างความถูกต้องที่ปราศจากมโนธรรมให้แก่พวกตน

 

สังคมท้องถิ่นแทบทุกภูมิภาคกำลังถูกทำลายในกระบวนการสลายพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม [De-localization] โดยอำนาจรัฐและอำนาจทุนนิยมมีปรากฏการณ์ให้เห็นแทบทุกเมื่อชั่วยามในขณะนี้ ดังตัวอย่างไกลตัวในภาคเหนือในเขตจังหวัดแพร่และน่าน ที่รัฐยินยอมให้กลุ่มชาติพันธุ์ผสมนายทุนข้ามชาติ ทำการเพาะปลูก ทำไร่ข้าวโพดในพื้นที่ต้นน้ำยมและน้ำน่านที่อยู่บนภูเขาและที่สูง จนเกิดอาการเขาหัวโล้นไปทั่ว

 

การปลูกข้าวโพดอันเป็นเกษตรอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวได้ทำลายความหลากหลายของชีวภาพของนิเวศวัฒนธรรมบนเขาและที่สูงของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นถิ่นที่ทำการเพาะปลูกในระบบไร่หมุนเวียนที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำมาหากิน  ในลักษณะพอเพียง และไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ   และเป็นการเกษตรที่ยั่งยืน   เพราะการหมุนเวียนไปตามที่ต่างๆที่กำหนดไว้ ทางราชการขาดความเข้าใจ ความหมายและระบบการทำไร่หมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในท้องถิ่นมาแต่เดิมไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป และสร้างวาทกรรมโดยนักวิชาการโง่ว่าเป็นการทำไร่เลื่อนลอยที่ทำให้พื้นที่ป่าเขาทั้งหมดเตียนโล่ง เลยอ้างกฎหมายและใช้อำนาจยึดครองที่ดินที่อยู่อาศัยให้มาเป็นของรัฐ ขับไล่ชุมชนท้องถิ่นให้ดำรงอยู่ไม่ได้

 

แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดหนทางให้กับบรรดานายทุนข้ามชาติที่นำเอาผลิตผลข้าวโพดเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปและส่งออกในการสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น   และคนจากพื้นราบเข้าทำไร่เลื่อนลอยด้วยการใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์แทนการเพาะปลูกตามวิธีการธรรมชาติของคนในท้องถิ่นแต่เดิม ปัจจุบันการครอบงำของการทำไร่เลื่อนลอยของกลุ่มชนบนที่สูงนั้นก้าวไกลเกินสภาพความเป็นไร่เลื่อนลอยสู่ภาวการณ์เป็นไร่ถาวรในระบบเกษตรอุตสาหกรรมที่มีนายทุนข้ามชาติผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐและตลาดอยู่เบื้องหลัง

 

ผลที่ตามมาของการทำไร่ข้าวโพดถาวรดังกล่าวนี้ ได้ทำให้เกิดความวิบัติอย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิตของผู้คนทั้งอยู่ในที่สูงและที่ลุ่มต่ำในขณะนี้ คือ เมื่อฝนตกเกิดดินถล่ม [Land Slide] น้ำท่วมทำให้บ้านเรือนพังและที่ทำกินเสียหายไร้ที่อยู่เป็นประจำเกือบแทบทุกปีเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะในฤดูแล้งกลุ่มคนที่ปลูกข้าวโพดบนเขาและที่สูงเผาซังข้าวโพดเพื่อปรับที่ดินเพาะปลูกใหม่ ทำให้เกิดควันไฟและเขม่าไฟปกคลุมไปทั้งภูมิภาค เกิดมลภาวะทางอากาศที่เป็นภัยต่อระบบการหายใจของมนุษย์

 

ความชั่วร้ายและบาปของนายทุนก็ยังคงดำรงอยู่ ในพื้นที่เขตเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร ทั้งนายทุนและรัฐเริ่มสุมหัวกันทำลายชุมชนท้องถิ่นที่มีรากเหง้ามาแต่สมัยการสร้างกรุงเทพฯ ครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ โดยการอ้างการปรับปรุงผังเมืองและสร้างสถานที่ทางราชการและพื้นที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ใหม่ ให้ดูสวยงามเป็นเมืองประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยวผลที่ตามมาคือ ชุมชนมนุษย์ที่ยังฝังตัวอยู่ในบริเวณเมืองกรุงเทพมหานคร กำลังถูกคุกคาม รื้อถอน และขับไล่โดยไม่มีความชอบธรรมในแทบทุกย่านที่อยู่อาศัยและทำกิน

 

การดำเนินการชั่วร้ายของการสลายท้องถิ่นทางสังคมและวัฒนธรรมที่กำลังจะเป็นการทุบตีทำร้ายผู้คนดั้งเดิมของเมืองกรุงเทพฯ ในขณะนี้ กำลังอยู่ที่ “ชุมชนชานกำแพงเมืองหลังป้อมมหากาฬ” เพราะกรุงเทพมหานครต้องการไล่ชุมชนมนุษย์ออกไป เพื่อเอาพื้นที่ไปทำสวนสาธารณะเพื่อคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแทนที่ชุมชนซึ่งเคยอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครมาแต่เดิม

Source : คอลัมน์ “เปิดประเด็น” จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉบับที่ 109 (ม.ค.-มี.ค.2559)
http://lek-prapai.org/home/view.php?id=5155

ความเท่าเทียมไม่ใช่ความเสมอภาคในสังคม

ความเท่าเทียมไม่ใช่ความเสมอภาคในสังคม

Author : กาแฟดำ

‘มือใครยาวสาวได้สาวเอา’

ภาพนี้เคยเห็นมาก่อน แต่ที่เห็นมีเพียงสองภาพทางซ้าย ภาพด้านขวาสุดเพิ่งเห็น ทำให้เห็น สัจธรรม แห่งสังคมเพิ่มอีกมิติหนึ่ง

วิเคราะห์ภาพนี้ให้ดีจะเห็นว่าความขัดแย้งในสังคม และปัญหาของประเทศเกิดจากการที่เราไม่ซาบซึ้ง ถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า equality กับ equity

ภาษาไทยมีคนแปลคำว่า equality คือความเท่าเทียม

และคำว่า equity แปลว่าเสมอภาค

คำว่า reality ไม่ต้องแปลให้ยาก มันคือสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างที่เห็นและเป็นอยู่

ภาพแรกคือคำอธิบายคำว่า เท่าเทียม นั่นคือการให้ทุกคนได้ทุกอย่างเหมือนกัน แต่ ความเท่าเทียม จะกลายเป็นความเป็นธรรมและความยุติธรรมได้ก็ต่อเมื่อทุกคนเริ่มจากจุดเดียวกัน

ในภาพแรกจะเห็นว่าความยุติธรรมจะเกิดจากความเท่าเทียม ก็ต่อเมื่อทุกคนเกิดมาสูงเท่ากัน หรือในสังคมที่ทุกคนมีอะไรเหมือนกันแล้ว ความยุติธรรมและความเป็นธรรมก็เกิดขึ้นได้

ภาพที่สองเน้น ความเสมอภาค หรือ equity ซึ่งไม่ใช่ “ความเท่าเทียม” เท่านั้น หากแต่หมายความว่าทุกคนจะได้ การเข้าถึงโอกาสเหมือนกัน

เพราะสถานภาพในสังคมของคนไม่เหมือนกัน โอกาสไม่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดอุปสรรคในการเข้าถึงโอกาส เกิดความไม่เสมอภาคกัน ดังนั้นการจะทำให้เกิดความเท่าเทียมนั้นจะต้องให้มีความเสมอภาคกันก่อน

คำว่า “เท่าเทียม” คือการให้อะไรเหมือน ๆ กัน

คำว่า “เสมอภาค” คือความยุติธรรม

ในทางปฏิบัติการจะทำให้เกิดความเสมอภาค เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ก็คือคนที่มีโอกาสน้อยที่สุด ต้องได้รับการช่วยเหลือส่งเสริมมากที่สุด ส่วนคนที่ได้เปรียบอยู่แล้วก็ไม่ต้องได้รับอะไรมาเสริมหรือหนุนเนื่อง ตรงกันข้ามอาจจะต้องเสียสละให้คนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้มากกว่าตัวเอง

หากเปรียบเทียบโอกาสคือการสามารถดูฟุตบอลได้เหมือนกัน คนที่สูงอยู่แล้วไม่ต้องมีกล่องช่วยหนุน ขณะที่คนสูงปานกลางอาจได้กล่องช่วยบ้าง แต่คนเตี้ยที่สุดจะต้องได้กล่องหนุนสองชั้นด้วยซ้ำ…. เพื่อให้ทั้งสามคนสามารถดูและเชียร์เกมฟุตบอลได้เหมือนกัน

อย่างนี้จึงจะทำให้ ความเสมอภาค” นำไปสู่ ความเท่าเทียม” และ ความยุติธรรม” อันแท้จริง

สภาพที่เกิดขึ้นในสังคมไทยวันนี้ ส่วนใหญ่จะคิดแต่เพียงว่า “ความเท่าเทียม” ก็คือ “ความเสมอภาค” หรือ equality ก็คือ equity ซึ่งไม่จริง ตรงกันข้ามเมื่อเราตีความเช่นนี้ผิด คิดว่าการให้อะไรเหมือน ๆ กันก็คือความเป็นธรรมและความยุติธรรม, ลงท้ายช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนกับคุณภาพชีวิตของคนระดับบนกับระดับล่างก็ยังห่างกันอยู่… และจะห่างต่อไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นวิกฤตของสังคมที่มาในรูปความขัดแย้ง, การแก่งแย่งทรัพยากรและการใช้ไม้วัดเดียวกันประเมินคนในสังคมทุกชนชั้น

จนกลายเป็น ความเป็นจริง หรือ reality อย่างที่เห็นในรูปที่สาม

สะท้อนว่ายิ่งวันคนด้อยโอกาสก็ยิ่งถูกเหยียบย่ำ ขณะที่คนรวยคนได้เปรียบก็อยู่ในสภาพ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”

หากไม่แก้ไขสัจธรรมข้อนี้ หากยังตีความ ความเท่าเทียม” คือ ความเสมอภาค” ก็อย่าได้หวังว่าจะเกิดสังคมเป็นธรรม ที่ยึดหลักความยุติธรรม เป็นเป้าหมายของการสร้างสังคมอันพึงปรารถนาสำหรับทุกคนเลย

คำประกาศเกียรติคุณ ศาสตราจารย์พิเศษเรืองอุไร กุศลาสัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์

คำประกาศเกียรติคุณ ศาสตราจารย์พิเศษเรืองอุไร กุศลาสัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์

“ทวาย” ยังไม่สายที่จะต้องมนต์

คำประกาศเกียรติคุณ ศาสตราจารย์พิเศษเรืองอุไร กุศลาสัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์

Author : พัชริดา พงษปภัสร์ เจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กร มูลนิธิสืบนาคะเสถียร

“ฉันไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อเรียกร้องให้คุณมาเข้าใจ แต่คุณจำเป็นต้องรู้สึก ต่อคุณค่าความงามที่แท้จริงของทวายด้วยตัวของคุณเอง”.

…ก่อนเราจะเป็นหนึ่งในประเทศที่แปรสภาพเมืองทวายให้เป็นเมืองท่าและนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่.

ราวกับวันนี้ยังคงเป็นวันแรกที่เราต้องมนต์สเน่ห์แห่งทวาย จากการร่ายมนต์ของผู้ร่วมมือทุกๆ ฝ่ายด้วยกัน ทั้งที่ฉันละประสาทสัมผัสจากพื้นที่ตรงนั้นมาได้สองสามวันเศษแล้ว แปรเปลี่ยนความประสงค์เป็นการเอื้อมมือไปสัมผัสทวายอย่างแท้จริง ผ่านกลิ่นหอมแป้งทานาคา ผสมผสานกลิ่นปลาในตลาด รึไม่ก็นึกเล่นซนขอป้าลองปั้นหม้อดินเผาที่ศูนย์ใหญ่ใจกลางเมือง และสัมผัส texture ร่องรอยอารยธรรมเก่าแก่ เมืองพี่เมืองน้องครั้นบรรพกาลของไทย ด้วยดวงตา จมูก สองมือ และกล้องคู่ใจของตัวเอง.

ตลาดบ้านตะบอเส็กแสดงให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของทะเล Sayan Chuenudomsavad

ตลาดบ้านตะบอเส็กแสดงให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของทะเล – ถ่ายภาพโดย Sayan Chuenudomsavad

ทำนองโฟล์คซองคลอเสียงร้องภาษาถิ่น ยังคงก้องติดหูแม้จะผ่านไปครึ่งวันแล้วก็ตาม รอยยิ้ม เสียงหัวเราะปรากฏร่องรอยแห่งกาลเวลาบนสองข้างแก้มที่ประพรมแป้งทานาคา หนุ่มสาวนุ่งซิ่นอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชื้อเชิญทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ และชาวทวายด้วยกันเข้ามาร่วมงาน.

นิทรรศการ หลงรักทวาย

บรรยากาศในงานนิทรรศการ “หลงรักทวาย”

เมื่อ 24 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา  โครงการศิลปะชุมชน, สมาคมพัฒนาทวาย, สมาคมวิจัยทวาย, ชุมชนบ้านกาโลนท่า เมืองทวาย ประเทศพม่า, มูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป และเสมสิกขาลัย ร่วมจัดงานนิทรรศการ “หลงรักทวาย” ขึ้น เพื่อหยิบยกสเน่ห์อันเรียบง่ายของทวายมาถ่ายทอดสู่สาธารณชนใจกลางกรุงเทพฯ ผ่านการแสดง ภาษา ดนตรี โดยเฉพาะภาพถ่าย และภาพจิตรกรรมบอกเล่าความเป็นทวายได้อย่างลงตัว และชวนให้หลงไหลมนต์สเน่ห์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย

ทวาย

สาวน้อยกำลังเทินปลาที่ได้มาจากเรือประมงใหญ่  – ถ่ายภาพโดย Amnat Ketchuen.

ชาวทวายผู้มาร่วมงานประสานเป็นเสียงเดียวกันเพื่อตอบพิธีกร(ล่าม)ที่ถามถึงความรู้สึกต่อเมืองทวาย แปลความได้ว่า ‘คิดถึงบ้าน’

แม้ฟังภาษาทวายไม่เข้าใจ แต่รู้สึกได้ถึงความน่ารักของสำเนียงภาษาที่น่าฟัง.

ทวายไม่ได้เป็นแค่เมืองเล็กๆ ในแผนที่ที่รอให้นักลงทุนข้ามชาติรุมทึ้งแล้วดัดแปลงโฉมใหม่กลายเป็นประตูเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่เชื่อมต่อการค้าจากโลกตะวันตกเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองแห่งชีวิตและสีสัน วิถีชีวิตชาวทวายดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ  หาเช้ากินค่ำ เพาะปลูกพืชผล หาปลา นำมาวางขายบนแผงตลาด และมีหมากเป็นพืชเศรษฐกิจ.

ทวาย

หมาก พืชเศรษฐกิจของทวาย – ถ่ายภาพโดย Thanawat Insuwan.

อีกทั้งยังเป็นเมืองแห่งความงดงามของธรรมชาติโอบกอดด้วยภูเขาและท้องทะเล ซึ่งผสมผสานทั้งชุมชนพุทธ คริสต์ มุสลิม ฮินดู พึ่งมีวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างช้านาน กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และยั่งยืน.

ทวาย

เด็กนักเรียนขี่จักรยานผ่านถนนตาลคู่ไปโรงเรียนทุกเช้า – ถ่ายภาพโดย  Thanawat Insuwan.

ความงามอันพิสุทธิ์นี้หวนให้ฉันระลึกถึงทวายโปรเจคที่จะนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลง…  ดัดแปลงหรือโละทิ้งมนต์สเน่ห์ดั้งเดิมของทวาย ซึ่ง “ทวายโปรเจค” มักปรากฏข้อมูลมิติด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่มิติด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ยังไม่ถูกนำเสนอมากมายนัก

ทวาย

เด็กๆ ณ ชายหาดมองมะกัน ชายหาดยอดนิยมของคนทวาย – ถ่ายภาพโดย Rapeepat Mantanarat.

ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้กระนั้นหรือ เมื่อ ‘มาบตาพุด’ ยังหลงเหลือบทเรียนให้เราได้หวาดผวา ชวนหวั่นกลัวว่าทวายจะกลายเป็น ‘เหยื่อรายที่สอง’ ถัดจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด.

ทวาย

ยามเย็นที่หาดมะยินจีซึ่งตั้งอยู่ติดกับเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย – ถ่ายภาพโดย Jamon Sonpednarin.

การพัฒนาจะเกิดผลดีจำเป็นต้องมาพร้อมสติปัญญา – นั่นคือสิ่งที่ฉันสรุปกับตัวเองหลังได้ฟัง อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กล่าว แต่ฉันไม่แน่ใจนักว่า โครงการเพื่อการพัฒนาครั้งนี้จะเข้าข่ายหรือไม่.

ความเป็นจริงนั้น ทวายโปรเจค หรือ โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย และเส้นทางคมนาคมเชื่อมระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่า (Dawei Deep Sea Port & Industrial Estate Project and Transborder Corridor Link) ประกอบไปอะไรหลายอย่างที่จะส่งผลกระทบต่อทวายทั้งสิ้น อาทิ โครงการท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสากรรม ทั้งโรงหล็กต้นน้ำ โรงปุ๋ยไฟฟ้า โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงแยกก๊าซ โรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมยานยนต์ เส้นทางการคมนาคม ทั้งถนน ทางรถไฟ และท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และที่พักอาศัย ศูนย์การค้า ศูนย์การท่องเที่ยว รีสอร์ท และศูนย์พักผ่อนบริษัทฯ ซึ่งมีพื้นที่โครงการต้ังอยู่ห่างจากเมืองทวายประมาณ 30 กิโลเมตร.

ทวาย

แม่น้ำตะลายยาร์ระหว่างทางไปหมู่บ้านกะโลนท่า – ถ่ายภาพโดย  Wichai Juntavaro.

ทั้งหมดที่ได้กล่าวไปข้างต้นจะเข้ามารุกรานจนสิ่งมีค่าเหล่านี้อาจต้องมลายหายไป มันคงเป็นเรื่องน่าเสียดายหากทวายจะเหลือเพียงปกรณัมเล่าขาน ก่อนถูกทุนข้ามชาติกลืนกินจนทวายกลายสภาพเป็นอดีต เชิญชวนให้ท่านทั้งหลายมาทำความรู้จัก ลุ่มหลง และตกหลุมรักทวายอย่างมิอาจถอนตัวกันเถอะ.

พวกเขารอคอยความหวังให้เพื่อนบ้านอย่างเราช่วยกันเข้าใจและเป็นอีกแรงที่จะธำรงรักษาคุณค่าอันหลากหลายและสร้างกระแสการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงขอถือเสียว่านิทรรศการหลงรักทวาย ครั้งนี้เป็นสาส์นเชิญถึงโลกกว้าง ให้เราเดินทางอย่างยากลำบากไปค้นหาความหมายและคำตอบในแบบของคุณเองว่า “ทำไมเราจึงตกหลุมรักทวาย”

‘ทวาย’ ในความงามของ สุลักษณ์ ศิวรักษ์

เพลานี้ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปชวนทุกคนมาหลงรักทวาย ผ่านการเรียนรู้อดีต เข้าใจปัจจุบัน และเดินหน้าไปสู่อนาคต… “ทวาย” เคยเป็นเมืองหนึ่งในราชอาณาจักรไทยเมื่อครั้นก่อนการสิ้นสถานภาพราชธานีกรุงศรีอยุธยา คราวกรุงแตกวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 หรือ 2.5 ศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์เสียกรุงครั้งนั้น เมืองทวาย ตะนาวศรี และมะริด ได้ตกเป็นของพม่า

รู้หรือไม่?… ‘บ้านทวาย’ หรือชุมชนทวายจำนวนหนึ่งพักพิงอยู่ในเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ยาวนานมากระทั่งยุคปัจจุบัน ที่ระแวกวัดยานนาวา จังหวัดกรุงเทพฯ

การเดินทางไปยังเมืองทวายประเทศพม่า นั้นไม่สะดวก ต้องต่อรถหลายต่อ ความเจริญยังเข้าไม่ถึงนัก ซึ่งเป็นคุณสมบัติบางประการในการช่วยรักษาทวายไว้ได้ เพราะหากการเดินทางเต็มไปด้วยความสะดวกความเจริญ สิ่งเหล่านี้จะอำนวยประโยชน์ต่อทุนข้ามชาติ แต่ส่งผลตรงข้ามกับคนเล็กคนน้อยและชาวทวายเอง

ความเจริญไม่ใช่สิ่งดีงามตลอดไป ความเจริญเป็นสิ่งที่นำความหายนะมาให้ไม่ใช่น้อย

.
.

ทวาย
.
.

อ.สุลักษณ์ กล่าวว่า ผมเป็นคนโชคดีที่มีโอกาสไปเยี่ยมทวาย ได้เห็นว่าวัดยังเป็นศูนย์กลางของชุมชนทวาย ชุมชนทวายยังรักษาเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ภาษาดั้งเดิมไว้ได้อย่างน่าภูมิใจ และชาวบ้านพร้อมร่วมใจกันต่อสู้กับสิ่งทันสมัย ความเจริญ ที่ทุนข้ามพรมแดนได้เข้ามายัดเยียดให้แสดงถึงศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรม และภาษาของตนเอง ผมหวังว่าชาวทวายจะสามารถรักษาเอกลักษณ์เหล่านี้ไว้ได้ ให้สมศักดิ์ศรีบรรพบุรุษที่สืบทอดกันเรื่อยมาสู่ยุคปัจจุบัน

ผมไม่จำเป็นต้องบอกชาวทวายว่า ท่าเรือน้ำลึก ถนนอันทันสมัยต่างๆ จะนำความเลวร้ายอะไรมาให้ทวายบ้าง เพียงท่านทั้งหลายไปดูมาบตาพุด ก็จะเห็นได้เลยว่านิคมอุตสาหกรรมนั่นได้ทำลายชาวบ้าน ทำลายปลา ทำลายทะเล สร้างมลพิษเป็นอันมาก ผมหวังว่าสิ่งเลวร้ายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นที่ทวาย แต่ผมเกรงว่าถ้าเราไม่ต่อสู้ให้ทันท่วงที สิ่งที่จะเกิดกับทวาย จะเลวร้ายยิ่งกว่ามาบตาพุด

การต่อสู้กับการพัฒนาผิดๆ นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิของคนปัจจุบัน

อ.สุลักษณ์ ท้าวความถึงโครงการการพัฒนาต่างๆ ของนายทุนผู้หวังช่วงชิงทวายมาจากชาวทวายเอง ว่า โครงการทวายเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยทักษิณ ชินวัตร มาจนถึงยุคสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) การปกครองตอนนี้ก็เลวร้ายพอๆ กัน ที่เห็นเงิน เห็นอำนาจ เห็นทรัพยากรเป็นประโยชน์เพื่อเทคโนโลยีแบบใหม่ เพราะฉะนั้นการต่อสู้พวกนี้จะยาก แต่เราจำเป็นต้องไม่ก้มหัวให้ และการไม่ก้มหัวให้นั้นต้องหวนกลับมาหาวัฒนธรรมดั้งเดิม ภูมิใจในศิลปะ วัฒนธรรม ศาสนธรรม ศาสนสถาน ซึ่งชาวทวายช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ได้อย่างกลมเกลียวกัน.

สุลักษณ์ ศิวลักษณ์
.
หวังว่าคนไทยจะหลงรักทวาย ด้วยการเห็นมองเห็นคุณค่า ความงามสิ่งประเสริฐการรักษาศักดิ์ศรี และรักวัฒนธรรมของทวายให้คงความสวยและความพริ้งไพเราะ ตลอดไปชั่วกาลนาน

Source : เรียบเรียงบทความจากการกล่าวเปิดงานนิทรรศการ “หลงรักทวาย” โดย อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ในวันที่ 24 มค. 2560 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ

พรปีใหม่2560 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)

พรปีใหม่2560 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)

Author : พิเภกInter

“พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์สามารถหาความสุขที่ประณีตกว่าการบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ความสุขแบบนั้น ท่านเรียกว่า เป็นความสุขที่ประณีตขึ้น ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือเป็นอิสระ มนุษย์มีความสุขได้ โดยลำพังตัวเองในใจ และไม่ต้องขึ้นต่อวัตถุภายนอก ซึ่งหมายความว่า แม้วัตถุภายนอกนั้นไม่มีอยู่ เราก็มีความสุขได้ ข้อสำคัญก็คือ มันเป็นความสุขพื้นฐาน ที่จะทำให้การแสวงหา หรือการเสพความสุขภายนอก เป็นไปอย่างพอดี อยู่ในขอบเขตที่สมดุล ทำให้มีความสุขแท้จริง และไม่เบียดเบียนกันในทางสังคม

ถ้าคนมีความสุขประเภทนี้ เป็นรากฐานอยู่ภายในตนเองแล้ว การหาความสุขทางวัตถุ มาบำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะมีขอบเขต ท่านเรียกว่า รู้จักประมาณ ถ้าเรามีความสุขข้างในแล้ว ความสุขที่ได้ข้างนอก ก็เป็นความสุขที่เติมเข้ามา เป็นของแถม หรือกำไรพิเศษ และอิ่มอยู่เสมอ แต่ถ้าเราไม่มีความสุขในจิตใจ มีใจเร่าร้อน กระวนกระวาย หรือมีความเบื่อ มีความเครียด มีปัญหาอยู่ภายในใจของตนเองแล้ว พอหาวัตถุมาบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะต้องมีปัญหาต่อไปอีก คือ

๑.ไม่สามารถมีความสุขได้เต็มที่

๒.เมื่อทำโดยมีปมปัญหาในใจ ก็ทำอย่างไม่พอดี ทั้งทำให้เกิดปัญหาวุ่นวาย และตัวเองก็ไม่ได้ความสุขจากภายนอกเต็มที่ด้วย และประการสำคัญก็คือ พอทำอะไรออกมา เพื่อหาความสุขเหลานั้น ก็ทำให้เกิดการปะทะ กระทบซึ่งกันและกัน ก็เลยกลายเป็นปัญหาสังคมขยายบานปลายออกไป

ถ้าความสุขนั้น ยังต้องขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น มันก็ผันแปรได้ และตัวเราก็ไม่เป็นอิสระ เพราะสิ่ง นั้นตกอยู่ใต้กฎธรรมชาติ เป็นไปตามอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันสามารถกลับย้อน มาทำพิษแก่เราได้ สิ่งภายนอกที่เราอาศัยนั้น มันไม่ได้อยู่กับตัวข้างในเรา ไม่เป็นของเราแท้จริง เมื่อเราฝากความสุขไว้กับมัน ถ้ามันมีอันเป็นอะไรไป เราก็ทุกข์

ความดีก็เหมือนกัน เมื่อเรามีความสุข เพราะอาศัยมัน ถ้าความดีนั้น เราทำไปแล้ว คนอื่นไม่เห็น หรือไม่ชื่นชม บางทีใจเราก็หม่นหมองไปด้วย จึงเรียกว่า เป็นความสุขที่ยังอิงอาศัยอยู่ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องก้าวต่อไปสู่การมีปัญญา รู้ความจริงของสิ่งทั้งหลาย รู้ว่าธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรที่เป็นสังขาร จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม เป็นความชั่ว หรือความดี เป็นวัตถุ หรือเป็นเรื่องของจิตใจ มันก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น

เมื่อรู้ความจริงแล้ว ก็จะเข้าถึงกระแสของธรรมชาติ เรียกว่ากระแสแห่งเหตุปัจจัย ปัญญา ของเราก็เข้าไปรู้ทันกระแสแห่งเหตุปัจจัยนี้ พอปัญญารู้เท่าทันมันแล้ว เราก็วางใจได้ รู้สึกเบา สบาย เราก็รู้แต่เพียงความเป็นจริงว่า เวลานี้ สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน เมื่อรู้ทันแล้ว สิ่งนั้นก็ไม่ย้อนมาทำพิษแก่จิตใจของเรา จิตใจของเราก็เป็นอิสระ

สิ่งทั้งหลายที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีความเปลี่ยนแปลงเป็นไปต่างๆ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา เพราะมันอยู่ในกฎธรรมชาติอย่างนั้น ไม่มีใครไปแก้ไขได้ แต่ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะว่าในเวลาที่มันแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมชาตินั้น มันพลอยมาเบียดเบียนจิตใจของเราด้วย เพราะอะไร? ก็เพราะเรายื่นแหย่ใจของเราเข้าไปใต้อิทธิพลความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาตินั้นด้วย

ดังนั้น เมื่อสิ่งเหลานั้นปรวนแปรไปอย่างไร ใจของเราก็พลอยปรวนแปรไปอย่างนั้นด้วย เมื่อมันมีอันเป็นไป ใจของเราก็ถูกบีบคั้น ไม่สบาย แต่พอเรารู้เท่าทัน ถึงหลักธรรมชาติแล้ว กฎธรรมชาติ ก็เป็นกฎธรรมชาติ สิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรมชาติ ก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ทำไมเราจะต้องเอาใจของเราไปให้กฎธรรมชาติบีบคั้นด้วย เราก็วางใจของเราได้

ความทุกข์ที่มีในธรรมชาติ ก็เป็นของธรรมชาติไป ใจของเราไม่ต้องเป็นทุกข์ไปด้วย ตอนนี้แหละที่ท่านเรียกว่ามีจิตใจเป็นอิสระ จนกระทั่งว่าแม้แต่ทุกข์ที่มีในกฎของธรรมชาติ ก็ไม่สามารถมาเบียดเบียนบีบคั้นใจเราได้ เป็นอิสรภาพแท้จริง ที่ท่านเรียกว่า วิมุตติ ความสุขจากความเป็นอิสระ ถึงวิมุตติ ที่มีปัญญารู้เท่าทันพร้อมอยู่นี้ เป็นความสุขที่สำคัญพอถึงสุขขั้นนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องไปพึ่งอาศัยสิ่งอื่นอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม มันจะกลายเป็นความสุขที่เต็มอยู่ในใจของเราเลย และเป็นสุขที่มีประจำอยู่ตลอดเวลา เป็นปัจจุบัน

และในโอกาสที่จะขึ้นปีใหม่ 2560

ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกได้โปรดอำนวยพรให้ท่านและครอบครัว ได้รับโชคดี มีความสุข สำเร็จ สมหวัง ตลอดปีและตลอดไป

ขอให้บุญรักษา เทวดาคุ้มครอง พระรัตนตรัยปกป้อง จงมีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีความร่มเย็น และมีความสุข ให้ร่ำรวยเงินทองและทรัพย์สิน ให้สูงส่งด้วยบารมี

“พรใดประเสริฐ ขอจงบังเกิดแก่ท่านและครอบครัว” ตลอดปีใหม่ 2560 และตลอดไป

ขออนุญาตกล่าวขออโหสิกรรมก่อนวันสิ้นปี 2559 และในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2560 ที่จะถึงนี้ ต่อเพื่อนร่วมโลกทุกท่าน

สิ่งใดที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกิน เคยกระทำต่อทุกท่าน ทั้งกายกรรม วจีกรรม  มโนกรรม ทั้งที่เจตนาหรือไม่เจตนา ที่นึกได้หรือนึกไม่ได้ ทั้งในอดีตทุกภพชาติ ปัจจุบันชาติ ขอทุกท่านโปรดจงอโหสิกรรมต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด

หากกรรมใดๆที่ทุกท่านเคยกระทำไม่ดี กับข้าพเจ้าในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้า ขอยกโทษ อโหสิกรรมเป็นอภัยทาน แด่ทุกๆท่านเช่นเดียวกัน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่ต้องจองเวรจองกรรม ข้ามภพข้ามชาติอีกต่อไป

ขอทุกท่านจงโชคดีในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2560 ด้วยกันทุกๆท่านเทอญ

ปฏิบัติบูชา

ปฏิบัติบูชา

Author : ส.ศ.ษ.

การที่ประชาชนพลเมืองพากันไปถวายบังคมพระบรมศพอย่างเนืองแน่นไม่ขาดสายนั้น นับว่าน่าชื่นชม ถือได้ว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระเจ้ามหาชีวิต โดยถือว่านี่เป็นอุดมมงคลก็ได้ เพราะการบูชาผู้ที่ควรบูชา นับว่าน่าสรรเสริญ ยังเจ้านายพระญาติพระวงศ์และผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดินก็ต้อนรับราษฎรอย่างเต็มใจ หาอาหารให้รับประทาน ทั้งยังบางพระองค์มาทรงประกอบอาหารเองก็มี ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นคุณงามความดีของทั้งผู้ให้และผู้รับ

แต่ทั้งหมดนี้ ถือได้ว่าเป็นอามิสบูชา ซึ่งย่อมสู้ผู้ปฏิบัติบูชาไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าชาวเราจะชวนกันขยับเข้าไปให้ถึงปฏิบัติบูชา น่าจะถือได้ว่าวิเศษพิศดารจริงๆ กล่าวคือ ร่วมกันทำอะไรๆถวายในหลวงในพระโกศ ให้เป็นราชพลีอย่างที่มีคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองและประเทศชาติอย่างแท้จริง

ขอยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือทั้งชนชั้นปกครองและผู้ถูกปกครอง หาทางตกลงร่วมกันทำให้แม่น้ำลำคลองรอบกรุงเทพฯหมดมลพิษ ให้น้ำคืนสู่ความบริสุทธิ์ สำหรับอาบกินได้ดังสมัยบรรพบุรุษของเรา ลดถุงพลาสติกและโฟมให้หมดไปจากพื้นแม่น้ำ ทำลายสิ่งโสโครกในแม่น้ำลำคลองให้หมดไป อะไรๆ ที่ปิดกั้นคูคลอง ต้องเอาออกให้หมด สายน้ำต่างๆ จะติดต่อกันตามธรรมชาติ แม้นี่จะเป็นการใหญ่ แต่ถ้าร่วมใจกันจริงๆ เพื่อบูชาคุณในหลวงของแผ่นดิน นี่จะเป็นสิ่งประเสริฐที่สุด โดยกำหนดให้งานบูรณะปฏิสังขรณ์แม่น้ำลำคลองได้แล้วเสร็จทันงานถวายพระเพลิงพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ หากพระองค์ทรงทราบได้โดยพระญาณวิถีใด ก็ย่อมจะพอพระราชหฤทัย และพระราชทานพรให้พสกนิกรทุกถ้วนหน้าดำรงชีพอยู่กันตามแม่น้ำลำคลองอย่างสุขสวัสดี ดังที่บรรพบุรุษบรรพสตรีของเราดำเนินชีวิตมาเช่นนั้น แต่สมัยกรุงศรีอยุธยานั้นแล้ว ยิ่งถึงงานบรมราชาภิเษกพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ย่อมจะได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นพยุหยาตราทางชลมารคอย่างงามสง่าและอย่างมีศักดิ์ศรีที่แท้จริง นับได้ว่าแม่น้ำเจ้าพระยาที่ใสบริสุทธิ์จะคืนกลับมาสมกับการเริ่มรัชสมัยใหม่

อนึ่ง ปี ๒๕๖๐ นี้ กรุงศรีอยุธยาจะสิ้นสภาพความเป็นราชธานีมาครบ ๒๕๐ ปี และเริ่มต้นกรุงธนบุรีเป็นราชขธานีมาครบ ๒๕๐ ปีเช่นกัน เราควรหันไปสำรวจอดีตของเราอย่างรู้เท่าทัน ว่าบรรพชนของเราอยู่กับน้ำยิ่งกว่าชนชาติใดๆ น้ำเป็นหัวใจของการกิน การอยู่ และการสัญจรไปมายิ่งกว่าทางบก ยังความต้องการต่างๆทางวิจิตรศิลปแปละมัณฑนศิลปก็เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างเหลือคณานับ เช่นบทเห่เรืออันวิเศษสุด เป็นต้น แม้เมื่อเราย้ายมาตั้งราชธานีที่กรุงรัตนโกสินทร์แล้ว เราก็ยังถือน้ำเป็นปัจจัยหลัก ทั้งทางศิลปวัฒนธรรมและศาสนธรรม หากเมื่อเราลืมกำพืดเดิมของเรา หันเหวิถีชีวิตเอาอย่างฝรั่ง ด้วยความเข้าไม่ถึงอารยธรรมดั้งเดิมนั่นแหละ ความหายนะจึงคืบคลานเข้ามา

ในโอกาสผลัดแผ่นดินเช่นนี้ ควรที่เราจะกลับไปแสวงหากำพืดเดิมของเรา นำบุราณธรรมกลับมาประยุกต์ใช้ให้สมสมัย เพื่อเป็นปฏิบัติบูชาแด่พระผู้เป็นทั้งเจ้าชีวิตและเจ้าแผ่นดินที่เคารพรักของเรา
ในภาคผนวกหนังสือเล่มล่าสุดของข้าพเจ้าชื่อ “อย่าลืมกำพืดของเราเอง” ได้อธิบายขยายความเรื่อง ๒๕๐ ปีกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีไว้ด้วย หากช่วยกันอ่านและร่วมกันวิจารณ์ เพื่อให้เกิดกรณียกิจอันยิ่งกว่าอามิสบูชา เป็นปฏิบัติบูชา ถวายสมเด็จพระมหาราชาธิราชของชาวเรา ทั้งรัชกาลที่ ๙ และรัชกาลถัดไป

สำหรับคนชนบทที่ห่างไกลราชธานีออกไป ก็ร่วมมือกันทำอะไรๆ ให้น้ำในดินแดนของตนได้มีความหมายอย่างสะอาด อย่างเป็นคุณกับชีวิต ให้สมกับพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่ตรัสว่า พระองค์ท่านเป็นน้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงพวกเรา พวกเราก็ควรเคารพรักษาน้ำ ดังให้เป็นปฏิบัติบูชาต่อในหลวงของชาวเราให้จงได้

สังคมที่น่าเป็นห่วง

สังคมที่น่าเป็นห่วง

Author : ประภัสสร เสวิกุล

สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาสำหรับคนในสังคมเวลานี้ ก็คือการรับข้อมูลมากเกินไป และส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลด้านเดียวหรือข้อมูลที่ยังไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง ปัญหาที่ตามมาก็คือการสำลักข้อมูล หรือการถูกผู้อื่นบรรจุข้อมูลลงในสมอง โดยที่เจ้าตัวไม่มีเวลาที่จะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน

ถ้าลองเปิดโซเชียลมีเดียหรือสังคมโลกออนไลน์ดู จะเห็นได้ชัดเจนว่าคนในยุคปัจจุบันจะใช้นิ้วในการเคาะคีย์และโพสต์ข้อความมากกว่าการใช้หัวคิดและไต่ตรอง ทันทีที่มีคนเริ่มต้นอะไรขึ้นสักอย่าง ก็จะมีคนส่วนหนึ่งแสดงความเห็นต่างๆ นานา โดยขาดการสอบสวนทวนความให้ถ่องแท้ ทั้งที่การใช้เสรีภาพดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น หรือปัญหาแก่ตัวเองได้

จุดใหญ่ใจความของเรื่องเหล่านี้ น่าจะมีที่มาจากสาเหตุสองประการ ประการแรกคือระบบการเรียนการสอนของไทยเราสอนให้จำมากกว่าจะสอนให้คิด ดังนั้น คนที่จำแม่นก็จะกลายเป็นคนที่เรียนเก่ง เพราะตอบข้อสอบได้ตรงกับโจทย์ และพฤติกรรมเช่นนี้ก็จะติดตัวมาจนโต ทำให้เป็นคนที่อยู่ในกรอบ ไม่กล้าคิดหรือทำอะไรที่ผิดแผกออกไป อีกประการหนึ่งก็คือการที่เรารู้จักประชาธิปไตยกันแค่เรื่องสิทธิเสรีภาพของตนเอง แต่ไม่ค่อยจะตระหนักในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น หรือหน้าที่ที่พึงมีต่อส่วนรวม

เหตุสองประการนี้ ถ้าเป็นในสมัยก่อนที่สังคมไทยยังเป็นสังคมเล็กๆ ที่ราบเรียบร่มรื่นก็ไม่สู้จะกระไรนัก แต่ในยุคปัจจุบันที่สังคมมีขนาดใหญ่โต มีความสลับซับซ้อน รวมทั้งมีความขัดแย้งทางแนวคิดและผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับวิวัฒนาการของการติดต่อสื่อสารที่เชื่อมโยงคนเข้าด้วยกันเหมือนใยแมงมุม ก็ทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา เพราะตามความเป็นจริงแล้ว หากมีการสอนให้คนคิดเก่งมากกว่าจำเก่ง ความคิดก็จะทำให้แต่ละคนมีวิจารณญาณ มีกระบวนการทางความคิด รู้จักคิดหาข้อเท็จจริง รู้จักใคร่ครวญถึงผลดีผลเสีย แล้วก็คงไม่พูดอะไรหรือโพสต์อะไรพล่อยๆ ขณะเดียวกัน ถ้ามีความเข้าใจเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยดีพอ ก็คงจะเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และไม่กระทำการใดๆ ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ เช่นที่เห็นกันอยู่ทั่วไป

การรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามานั้น เป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่ควรทำควบคู่กันไปกับการเรียนรู้และการใช้เทคโนโลยี ก็คือเรื่องมารยาทในการใช้เทคโนโลยี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนั้นๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราละเลยไม่ได้ปลูกฝังกันตั้งแต่ต้น ยกตัวอย่างเช่นการขับรถยนต์ หากรู้เพียงวิธีการขับ แต่ไม่เรียนรู้หรือสนใจที่จะปฏิบัติตามกฎจราจร ก็คงจะไม่สามารถใช้รถใช้ถนนได้ดี และย่อมก่อปัญหากับผู้ขับขี่ยวดยานหรือคนเดินถนนทั่วไป

สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็คือความรับผิดชอบ ซึ่งนับวันจะหายไปจากจิตใจของคนในสังคม เพราะเมื่อคนขนาดสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐมนตรีบางคน สามารถทำอะไรหรือพูดอะไรโดยปราศจากความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดตนทำ ทั้งๆ ที่มีพยานหลักฐานปรากฏชัด คนทั่วไปที่ใช้โซเชียลมีเดียซึ่งไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริง ก็ถือว่าตนย่อมจะสามารถโพสต์ข้อความหรือรูปภาพ โดยไม่มีความรับผิดชอบได้เช่นเดียวกัน

สังคมใดที่คนในสังคมขาดความคิด ขาดการเคารพกฎเกณฑ์กติกา เคารพสิทธิผู้อื่น และขาดความรับผิดชอบการกระทำของตน สังคมนั้นก็เป็นสังคมที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งครับ

ความไม่เป็นสมัยใหม่ของความคิดชนชั้นนำไทย

ความไม่เป็นสมัยใหม่ของความคิดชนชั้นนำไทย

Author : สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา

“ รัฐธรรมนูญมีไว้แก้ปัญหาประเทศ ปัญหาของประเทศคือทุกข์ ต้องรู้เหตุแห่งทุกข์ ต้นตอปัญหามาจากไหน จะดับทุกข์คือแก้ปัญหาอย่างไร และใช้วิธีอะไร ยุทธศาสตร์ 20 ปี เป็นการเดาทุกข์ล่วงหน้าและเตรียมแนวทางแก้ไขไว้ ”

นายวิษณุ เครืองาม ที่มา http://www.tnamcot.com/content/499424

น่าสังเกตว่า เมื่อชนชั้นนำไทยไม่สามารถอ้างหลักการประชาธิปไตยให้ความชอบธรรมกับการกำหนดนโยบายสาธารณะได้ พวกเขามักอ้างหลักการพุทธศาสนาเป็น “สูตรสำเร็จ” สนับสนุนแนวทางของตน เช่นในกรณีนี้นายวิษณุอ้างหลักอริยสัจสนับสนุนการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

เมื่อพิจารณาเนื้อหาอริยสัจจะเห็นว่า เป็นเรื่องที่พุทธะสอนเกี่ยวกับ “ความจริง” ของทุกข์และการดับทุกข์ในชีวิตของปัจเจกบุคคล แต่นักคิดทางพุทธศาสนาในบ้านเรา (เช่น ส. ศิวรักษ์) หรือนักปรัชญาชาวอเมริกัน (เช่นเดวิด อาร์ ลอย) ก็มองว่าหลักอริยสัจสามารถประยุกต์ใช้กับปัญหาทางสังคมได้

แต่ก็ต้องประยุกต์ใช้ในความหมายที่เน้นการทำความเข้าใจ “ความจริง” ของทุกข์ทางสังคม ไม่ใช่นำมาสนับสนุน “การเดาทุกข์ล่วงหน้า” เพราะเมื่อเราศึกษาหลักอริยสัจอย่างสัมพันธ์กับ “กาลามสูตร” จะเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่า พุทธศาสนาไม่ยอมรับ “การเดา” แต่ยืนยันการใช้ปัญญาประจักษ์แจ้งความจริงจนสิ้นสงสัย ซึ่งการจะเกิดปัญญาเช่นนั้นได้ ไม่เพียงแต่ต้องมีเสรีภาพจากอิทธิพลครอบงำภายนอกทั้งปวงเท่านั้น แม้แต่อิทธิพลครอบงำจากโมหะภายในก็ต้องทะลุทะลวงให้ได้

การอ้างหลักอริยสัจสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ 20 เพื่อแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ของประเทศ จึงมีคำถามสำคัญ 2 ประการคือ อะไรคือ “ความจริง” ของปัญหาหรือทุกข์ของประเทศ และการอ้างดังกล่าวมี “ความเป็นเหตุผล” หรือไม่

เมื่อพูดถึงความจริงและความเป็นเหตุผลในกรอบความคิดสมัยใหม่ หรือ “ความเป็นสมัยใหม่” (modernity) จะมีลักษณะร่วมอย่างหนึ่งคือ ความจริง (truth) และความเป็นเหตุเป็นผล (rationality) ต้องมี “เสรีภาพ” เป็นแกน ปราศจากเสรีภาพการรู้และพูดถึงความจริงอย่างเป็นสาธารณะก็เกิดขึ้นไม่ได้ ความเป็นเหตุผลก็เป็นไปไม่ได้

ในทัศนะของพุทธศาสนา การรู้ความจริงของทุกข์ในชีวิตและเข้าถึงความจริงของความพ้นทุกข์ ก็จำเป็นต้องมีเสรีภาพจากการครอบงำจากอิทธิพลภายนอกต่างๆ ดังที่สิทธัตถะหลุดพ้นจากอิทธิพลของพ่อ อิทธิพลของครูอาจารย์ การเดินตามทางของคนอื่นๆและความเชื่อทางศาสนาอื่นๆในสมัยนั้น จึงค้นพบเส้นทางของตัวเองและตรัสรู้อริยสัจเป็นพุทธะได้ในที่สุด

แต่นั่นคือการรู้ความจริงของทุกข์และการดับทุกข์ทางใจของปัจเจกบุคคล เสรีภาพจึงหมายถึงการที่ปัจเจกบุคคลสามารถปลดปล่อยตัวเองจากอิทธิพลครอบงำภายนอกและอิทธิพลด้านในคือกิเลสของตน จึงไม่เกี่ยวโดยตรงกับเสรีภาพทางสังคมการเมือง

ทว่าเมื่อนำหลักอริยสัจมาใช้กับปัญหาหรือ “ทุกข์ทางสังคม” การจะรู้ความจริงของทุกข์ทางสังคมและความมีเหตุผลของยุทธศาสตร์แก้ทุกข์ทางสังคม จึงสัมพันธ์กับ “เสรีภาพทางสังคมการเมือง” ในความหมายสมัยใหม่อย่างไม่อาจแยกจากกันได้

นั่นคือ การรู้และเข้าใจความจริงของปัญหาหรือทุกข์ทางสังคมไม่ใช่รู้จากชนชั้นนำบอกให้เชื่อ แต่ต้องรู้และเข้าใจได้จากการที่ประชาชนมีเสรีภาพในการอภิปรายความจริงของปัญหาทุกแง่ทุกมุมและอย่างถึงที่สุด จึงจะสามารถกำหนดยุทธศาสตร์แก้ปัญหาที่มีความเป็นเหตุเป็นผลได้

พูดอีกอย่างว่า ความจริงและความเป็นเหตุผลในความหมายสมัยใหม่ต้องมีความเป็นวิทยาศาสตร์ และอะไรที่มีความเป็นเหตุผล เป็นวิทยาศาสตร์ต้องสามารถเสนอข้อมูลด้านตรงข้ามเพื่อพิสูจน์หักล้างได้ ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพตามกรอบคิดสมัยใหม่ คือกรอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่ภายใต้รัฐบาลทหารเราไม่มีเสรีภาพเช่นนั้น ความจริงของปัญหาหรือทุกข์ทางสังคมตามที่กล่าวอ้างจึงไม่ใช่ความจริงที่มีความเป็นเหตุผลและเป็นวิทยาศาสตร์ตามความหมายสมัยใหม่

เพราะชนชั้นนำไทยติดอยู่กับความคิดที่ไม่มีความเป็นสมัยใหม่ พวกเขาจึงมักแสดงความเห็นหรือเสนออะไรที่ “ขัดแย้งในตัวเอง” ตลอดเวลา เช่นกล่าวชื่นชมการลงประชามติในอังกฤษ (ซึ่งเป็นการลงประชามติตามกรอบคิดสมัยใหม่) และอยากให้การลงประชามติในไทย (ซึ่งขัดกับกรอบคิดสมัยใหม่) มีความราบรื่นแบบเขา แต่ก็ไม่ยอมให้มีการลงประชามติภายใต้กติกาที่เสรีและเป็นธรรมแบบเขา และไม่กล้าหาญแสดงภาวะผู้นำรับผิดชอบด้วยการลาออกหากเสียงข้างมากไม่เอาด้วยกับรัฐบาลเหมือนผู้นำอังกฤษ

พูดอย่างถึงที่สุด รากฐานปัญหาของประเทศคือ “ความไม่เป็นประชาธิปไตย” จึงไม่มีเสรีภาพทางความคิดเห็นและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ฉะนั้น จึงไม่มีเสรีภาพในการอภิปรายความจริงของปัญหาด้านต่างๆของสังคมการเมืองไทยได้อย่างถึงที่สุดหรืออย่าง “สะเด็ดน้ำ” เมื่อเป็นเช่นนี้ความจริงและความเป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาทางสังคมการเมืองจึงเป็นไปไม่ได้

ปัญหาหรือทุกข์ของประเทศที่เรากำลังเผชิญอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากคนสวน ชาวนา คนขับแท็กซี่ หรือคนระดับชาวบ้านธรรมดาที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่รู้ประชาธิปไตย แต่อยู่ที่กลุ่มชนชั้นนำไทยยังไม่มีความคิดที่มีความเป็นสมัยใหม่ หรือไม่สามารถจะปรับตัวอยู่กับความจริง ความมีเหตุผล ความเป็นวิทยาศาสตร์ภายใต้หลักเสรีภาพตามระบบประชาธิปไตยได้